เผยแพร่ |
---|
ภายหลังจาก นายสมพงษ์ อมรวิวัฒน์ หัวหน้าพรรคเพื่อไทยในฐานะผู้นำฝ่ายค้านยื่นญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจต่อ นายชวน หลีกภัย ประธานสภาผู้แทนราษฎร
ไม่ว่าเสียงจาก นายวิรัช รัตนเศรษฐ ไม่ว่าเสียงจาก นายสุทิน คลังแสง ล้วนเป็นการเคลื่อนไหวของแต่ละฟากฝ่าย
เป็น”กลยุทธ์” เป็นท่วงท่าและอาการในทางการเมือง
หลัง นายวิรัช รัตนเศรษฐ ออกมาแถลงในฐานะประธานวิปฝ่ายรัฐบาล บรรดา ส.ส.พรรคพลังประชารัฐ ไม่ว่า น.ส.ปารีณา ไกรคุปต์ ไม่ว่า นายสิระ เจนจาคะ ก็เต้นไปตามจังหวะ
เป็นการออกมาร้องท้าอยู่หน้าค่ายอย่างที่เห็นกันเจนตาผ่านวรรณกรรมประเภท”พงศาวดารจีน” ไม่ว่าจะเป็นเรื่องไซฮั่น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องสามก๊ก ไม่ว่าจะเป็นเรื่องซิยินกุ้ย
เช่นเดียวกับการออกมาเติมสีสันผ่านกระบวนท่าของ นายสุทิน คลังแสง ประธานวิปฝ่ายค้าน
ยังไม่มีใครตอบได้ว่าการยุทธ์อย่างแท้จริงจะเป็นเช่นใด
ต้องยอมรับว่าภายใต้ญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจครั้งใหม่ พรรคร่วมฝ่ายค้านมากด้วยความระมัดระวังอย่าง เป็นพิเศษ
แม้จะมีการบรรจุชื่อ นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายจุรินทร์ ลักษณ วิศิษฎ์ ลงไปด้วย
ไม่ได้มีแต่รัฐมนตรีอย่าง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา อย่าง พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หรืออย่าง พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา อันถือได้ว่าอยู่ใน “กลุ่ม 3 ป.”
กระนั้น ก็เชื่อได้เลยว่าการบรรจุชื่อ นายอนุทิน ชาญวีรกูล และ นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฎ์ นั้นดำเนินไปในกระสวนแบบกระดานหกทางการเมือง
เป้าอย่างแท้จริงอยู่ที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา
ปมเงื่อนอยู่ตรงที่จะร้อยเชื่อม”เนื้อหา”เข้ามาอย่างไร
ต้องยอมรับว่าลีลา นายประเสริฐ จันทรรวงทอง แม้จะดูเหมือน เป็นนักการเมือง”เก่า” แต่เมื่อมีกลุ่มแคร์ คิดเคลื่อนไทย มานั่งเรียงอยู่เคียงข้าง กระแส”ปฏิรูป”จึงทะยานขึ้นสูง
เป็นการเชื่อมประสานระหว่างพรรคเพื่อไทยกับพรรคฝ่ายค้านอื่นได้อย่างไรจึงจะออกมาอย่างผสมกลมกล่อม งดงาม
กลายเป็น”นวัตกรรม”ใหม่ในทางการเมือง