เผยแพร่ |
---|
ข้อเรียกร้องในลักษณะกดดันต่อ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ นายปิย บุตร แสงกนกกุล และ น.ส.พรรณิการ์ วานิช ในห้วงแห่งการเคลื่อน ไหว”19 กันยา ทวงอำนาจ คืนราษฎ”แปลกอย่างยิ่ง
ด้านหนึ่ง กดดันให้บุคคลเหล่านี้หากไม่พอใจรัฐบาล ไม่พอใจประเทศก็ให้เดินทางไปอยู่ต่างประเทศ
ขณะเดียวกัน ด้านหนึ่ง ก็เรียกร้องอย่างจริงจังและต่อเนื่องว่าหากว่าเห็นด้วยกับการเคลื่อนไหว”19 กันยา ทวงอำนาจ คืนราษฎร” ก็ไม่ควรแอบอยู่ข้างหลัง
ไม่ว่า นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ไม่ว่า นายปิยบุตร แสงกนกกุล ไม่ว่า น.ส.พรรณิการ์ วานิช ควรจะออกมาเดินนำหน้าไม่ว่าจะเป็นของ”เยาวชนปลดแอก” ไม่ว่าจะเป็น”ธรรมศาสตร์จะไม่ทน”
คำถามก็คือหากขับไล่ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ นายปิยบุตร แสงกนกกุล น.ส.พรรณิการ์ วานิช ออกไปอยู่นอกประเทศเสียแล้วจะมีโอกาสออกเดินนำหน้าการเคลื่อนไหวได้อย่างไร
ถึงกระนั้น ความย้อนแย้งในข้อเรียกร้องลักษณะกดดันเช่นนี้ก็สามารถเข้าใจได้
เข้าใจในความเคยชินที่การเคลื่อนไหวจะต้องมีคนดังถือธงนำหน้ามวลชน อย่างเช่นบทบาทของแกนนำหลายคนในพันธมิตรประชาชน เพื่อประชาธิปไตย อย่างเช่นบทบาทของแกนนำหลายคนในกปปส.
นั่นก็เพราะคิดว่าการเคลื่อนไหวต้องมี”ผู้นำ”และผู้นำนั้นจะต้องเป็นคนมีชื่อเสียง มีหน้ามีตาในสังคมการเมือง
ตรงกันข้าม เมื่อเจอเยาวชนที่พูดก็ตะกุกตะกักในแบบ ฟอร์ด ทัตเทพ ในแบบของ รุ้ง ปนัสยา หรือในแบบของ พริษฐ์ เพนกวิน ก็รู้สึกขัดเขิน
เพราะในการเคลื่อนไหวเมื่อเดือนเมษายน พฤษภาคม 2553 ก็มองทะลุคนเสื้อแดงไปยัง นายทักษิณ ชินวัตร จึงประเมินว่าภาพที่อยู่เบื้องหลังเยาวชนปลดแอกและแฟล็ชม็อบก็น่าจะมี
อย่างน้อยก็ต้องมีคนมาทดแทนภาพ นายทักษิณ ชินวัตร
นั่นแหละจึงต้องชี้ไปยัง นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ นายปิยบุตร แสงกนกกุล น.ส.พรรณิการ์ วานิช
เบื้องหน้าการกล่าวหาและกดดันเช่นนี้ท่าทีของ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ นายปิยบุตร แสงกนกกุล น.ส.พรรณิการ์ วานิช เยือกเย็นอย่างยิ่ง
แสดงตนอย่างเด่นชัดว่ามิได้อยู่”เบื้องหน้า”แต่เป็น”ผู้ตาม”
ตามไปกับการเคลื่อนไหวของ”เยาวชน”คนรุ่นใหม่