ไม่ว่าสื่ออาวุโสระดับ “กาแฟดำ” ไม่ว่าสื่ออันเป็นตัวแทนคนรุ่นใหม่ระดับ “หนุ่มเมืองจันทน์” ล้วนให้ความยกย่องกระบวนการอภิปราย ของ ส.ส.พรรคก้าวไกล

อย่างน้อยประชาชนก็สัมผัสได้ใน”นิว นอร์มัล” จากการอภิปรายของ ส.ส.พรรคก้าวไกลตั้งแต่ต้นจนจบ

ไม่ว่าจะเป็นการเปิดประเด็นโดยหัวหน้าพรรค นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ไม่ว่าจะเป็นการลงในรายละเอียดอย่าง นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศก

ตามมาด้วยการเจาะหัวใจโดย นายสุรเชษฐ์ ประวีณวงศ์วุฒิ และการปิดเกมโดย น.ส.ศิริกัญญา ตันสกุล

ครบถ้วนกระบวนความ

ก่อให้เกิดบทสรุปจาก 1 ปฏิเสธร่างพรบ.งบประมาณ 1 ปฏิเสธ บทบาทของครม.เศรษฐกิจอย่างที่เคียเรียกว่า”ดรีมทีม” และ 1 ปฏิเสธบทบาทและความหมายของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา

อย่าได้แปลกใจหากจะมีข้อเสนอ”ยุบสภา”อย่างท้าทายมาจาก น.ส.ศิริกัญญา ตันสกุล เป็นบทสรุปเพื่อมอบอำนาจให้”ประชาชน”

 

กระบวนการอภิปรายอย่างมีการตระเตรียมอย่างเป็นระบบเช่นนี้คือท่วงทำนองตั้งแต่ยุคพรรคอนาคตใหม่และต่อยอดพัฒนาอย่างเด่นชัดในยุคแห่งพรรคก้าวไกล

เป็นการตระเตรียมเนื้อหาการอภิปรายอย่างมีการบริหารอย่างที่เรียกกันว่า “การแมนเนจ” นี่เป็นจุดเด่นของ”พรรคอนาคตใหม่”

สร้างความแตกต่างให้กับพรรคอนาคตใหม่ตั้งแต่มีการพิจารณาร่างพรบ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 มาแล้ว

มาถึงร่างพรบ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 แม้วันนี้ไม่มีพรรคอนาคตใหม่อยู่แล้ว ไม่มี นายธนาธร จึงรุ่ง เรืองกิจ นั่งหัวโต๊ะแล้ว

แต่ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ กับ น.ส.ศิริกัญญา ตันสกุล ก็นำนาวาแห่งพรรคก้าวไกลไปได้อย่างสดสวย งามตา

 

พรรคการเมืองอื่น ไม่ว่าจะเป็นพรรคประชาธิปัตย์ที่ก่อตั้งมาตั้งแต่ปี 2489 ไม่ว่าพรรคเพื่อไทยที่อวตารมาจากพรรคไทยรักไทย พรรคพลังประชาชน มิได้ดำเนินไปอย่างมี”การแมนเนจ”

การอภิปรายร่างพรบ.งบประมาณจึงต่างคนต่างทำ ต่างคนต่างเตรียม ตรงกันข้ามกับพรรคก้าวไกลที่มีลักษณะ”รวมหมู่”

เป็นการรวมหมู่อย่างมีการหาข้อมูล มีการตระเตรียมไม่ว่าในด้านวัสดุอุปกรณ์ หรือในด้านตัวบุคคล ร้อยเรียงจนเป็นเรื่องเดียวกัน

ความพร้อมเช่นนี้จึงสร้างความมั่นใจเป็นอย่างสูง