เผยแพร่ |
---|
การปะทะระหว่างกระทรวงวัฒนธรรมกับ สิตางค์ ส้มหยุด ดำเนินไปเหมือนกับการปะทะระหว่าง “เอ๋ ปารีณา” กับ “บุ๋ม ปนัดดา”
คือ การปะทะระหว่างความคิด ความเชื่อ
1 เป็นความเชื่อที่ดำรงอยู่กับ “อดีต” ขณะที่ 1 เป็นความเชื่อที่ดำรงอยู่กับ “ปัจจุบัน”
ความเชื่อแรกมองไม่เห็น”พลวัตร” มองไม่เห็น”พัฒนาการ”
ความเชื่อหลังสัมผัสได้ในความเปลี่ยนแปลง รับรู้ถึงสภาวะแห่งอนิจจัง ไม่เที่ยงแท้ ไม่แน่นอน
แม้ว่า 2 ความเชื่อนี้จะเข้ามาอยู่ใน”เทคโนโลยี”ใหม่
แต่ในเมื่อเป็นความเชื่อที่มองไม่เห็นพลวัตรมองไม่เห็นความ เปลี่ยนแปลง จึงถนัดในการใช้อำนาจ จึงสันทัดในการข่มขู่และบังคับ
สะท้อนท่วงทำนอง”เผด็จการ” สะท้อนความเคยชินในการรวบอำนาจ
อำนาจบางอำนาจแสดงออกผ่านกระบวนการบังคับ โดยการสั่งให้ลบรายละเอียดอันปรากฏอยู่ในจิตรกรรมฝาผนัง อ้างเรื่องศาส นา อ้างเรื่องอาจทำความเสื่อมเสียเป็นมลทิน
เป็นมลทินให้กับองค์สัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นความเสื่อมเสียให้กับโบสถ์วิหาร
เพราะเหลิงลอยลมไปกับอำนาจอันหยาบและดิบ
จึงถลำลึกลงไปในถ้อยคำข่มขู่ ไต่ไปบนเส้นลวดแห่งความไม่สุภาพ รุนแรงมากยิ่งขึ้นกระทั่งเหมือนกับเป็นส่วนหนึ่งในชีวิต
ทั้งชีวิตส่วนตัว ทั้งชีวิตทางการเมือง
แม้ไม่ปรากฏ”ปฏิกิริยา”ในทางสังคม แต่การแสดงออกในเชิงประจักษ์ก็ทำให้สามารถแยกจำแนกออกได้ว่า ฝ่ายใดเหมาะ ฝ่ายใดไม่เหมาะ
ที่เคยแสดงอำนาจบาตรใหญ่อย่างได้ผล กลับต้องประสบเข้ากับกระแสต้านในทางสังคม
มิอาจเดินหน้าวางอำนาจ บาตรใหญ่ไปได้เหมือนในอดีต
หากมองเข้าไปในสังคมโดยองค์รวม ภาพแห่งการปะทะขัดแย้งในความคิด ในความเชื่อเหมือนที่เกิดขึ้นกับ สิตางค์ สัมหยุด เหมือน ที่เกิดขึ้นกับ บุ๋ม ปนัดดา
กำลังกลายเป็นความปรกติ สามารถเกิดและปรากฏได้ในแทบจะทุกพื้นที่ในทางความคิด ในทางการเมือง
อำนาจที่เคยยิ่งใหญ่เริ่มถูกท้าทาย สั่นคลอน
พิเศษ! สมัครสมาชิกนิตยสารมติชนสุดสัปดาห์, ศิลปวัฒนธรรม และเทคโนโลยีชาวบ้าน ลดราคาทันที 40% ตั้งแต่วันนี้ – 30 มิ.ย.63 เท่านั้น! คลิกดูรายละเอียดที่นี่