เผยแพร่ |
---|
ภาพของตำรวจสันติบาล ภาพของตำรวจหน่วยปราบจลาจล ไม่ว่าที่หน้าทำเนียบรัฐบาล ไม่ว่าที่บริเวณอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ไม่ว่าที่บริเวณหอศิลป์ กทม.
เป้าหมายอยู่ที่ 1 นักเรียน นิสิต นักศึกษาและประชาชนที่ออกมาเคลื่อนไหวในวาระ 6 ปีรัฐประหารเมื่อปี 2557
1 อยู่ที่ “ป้ายผ้า”อันเป็นข้อความวิพากษ์และโจมตี
เด่นชัดยิ่งว่าปฏิบัติการของเจ้าหน้าที่ตำรวจเฉียบขาดและประสบความสำเร็จเป็นอย่างสูงในการสกัดขัดขวาง กระทั่งการชูและแสดง”ป้ายผ้า”มิอาจดำรงอยู่ได้อย่างยาวนาน
เหมือนกับจะยืนยัน “รูปธรรม” แห่งปฏิบัติการ”รุก”ในทางการเมือง เหมือนกับจะยืนยัน”รูปธรรม”แห่งสภาวะ”ตั้งรับ”ในทาง การเมือง
คำถามอยู่ที่ว่า ฝ่ายใดอยู่ในสถานะ “รุก” ฝ่ายใดอยู่ในสถานะ “รับ”
หากมองในเชิงกายภาพ หากมองผ่านพื้นที่ บทบาทของตำรวจอันเป็นกลไกแห่งรัฐสามารถสำแดงออกอย่างเป็นฝ่ายกระทำอย่างเด่นชัด
จากเครื่องมืออันเป็นพระราชกำหนดการบริหารราชการใน สถานการณ์ฉุกเฉิน
แต่ถามว่า “เครื่องมือ”นี้ได้มาอย่างไร
คำตอบก็คือ ได้มาจากการประกาศและบังคับใช้เพื่อต่อสู้กับ การแพร่ระบาดของไวรัส โควิด-19 เมื่อเดือนมีนาคม อันส่งผลให้สถานะของรัฐบาลในเดือนมีนาคม 2563 ดำรงอยู่เหมือนกับรัฐบาลหลังรัฐประหารเมื่อเดือนพฤษภาคม 2557 โดยพื้นฐาน
การแสดงปฏิกิริยาของ นักเรียน นิสิต นักศึกษาและประชาชนมีเป้าหมายอยู่ที่ 6 ปีของรัฐประหารเป็นหลัก
ความขึงขังอันมาจากพระราชกำหนดการบริหารราชการใน สถานการณ์ฉุกเฉิน ซึ่งสั่งการโดยรัฐบาล และปฏิบัติการโดยเจ้าหน้าที่ตำรวจคือการให้คำตอบต่อปฏิกิริยา
ในทางการทหาร รัฐบาลอาจเป็นฝ่ายรุก แต่ในทางการเมืองเด่นชัดว่าตกอยู่ในสถานะ”ตั้งรับ”
ยิ่งเจ้าหน้าที่ปราบจลาจลในชุดดำแสดงออกอย่างขึงขังมากเพียงใด ยิ่งสะท้อนให้เห็นถึงอำนาจอันแข็งตัวของรัฐบาล
ทั้งๆที่ “รัฐประหาร”ผ่านมาแล้ว 6 ปีเต็ม
แต่รัฐบาลก็ยังใช้เครื่องมือและยังสำแดงออกเหมือนกับที่เคยกระทำหลังเดือนพฤษภาคม 2557
นี่เท่ากับเป็นการ”ตั้งรับ”มิได้เป็นการ”รุก”แต่อย่างใด