เผยแพร่ |
---|
เด่นชัดว่า สถานการณ์ไวรัสทำให้บทบาทของฝ่ายนิติบัญญัติตกอยู่ในภาวะอำพาต ไม่สามารถประชุมรัฐสภาได้ ไม่สามารถเคลื่อนไหวทางการเมืองได้อย่างเป็นปรกติ
ภาพที่เห็น 1 คือ ลักษณะยอมจำนน พร้อมที่จะยุติการเคลื่อนไหว แล้วแต่สถานการณ์ไวรัสจะกำหนด
ภาพที่เห็น 1 คือ ความพยายามที่จะยืนยัน บทบาท
เห็นได้จากการออกโรงของ คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธ์ แห่งพรรคเพื่อไทย เห็นได้จากการออกโรงของ นายพิธา ลิ้มเจริญ รัตน์ แห่งพรรคก้าวไกล
เมื่อไม่สามารถเปิดประชุม เมื่อไม่สามารถแถลงข่าวได้ตามปกติก็ใช้ในรูปของโซเชียล มีเดีย
ความพยายามเช่นนี้น่ายกย่อง น่าสรรเสริญ
ที่น่าสนใจก็คือ ความพยายามไม่ว่าจะมาจากพรรคเพื่อไทย ไม่ว่า จะมาจากพรรคก้าวไกล กลับถูกสกัดขัดขวางจากพรรคพลังประชารัฐโดยการประชดประเทียดเสียดสี
เป็นการประชดประเทียดเสียดสีบนพื้นฐานความคิดที่ว่าต้อง ปล่อยให้รัฐบาลดำเนินการไปอย่างเต็มที่ ไม่ควรขัดแข้งขัดขา
เท่ากับตกอยู่บนฐานคิดที่ว่ารัฐบาลเป็น”คุณพ่อรู้ดี”
หากที่สำคัญยังเท่ากับไม่สามารถแยกแยะระหว่างการให้ความเห็นในเชิงวิพากษ์ได้อย่างเป็นจริง มองเห็นว่าเป็นการด่ามองเห็นว่าเป็นการตั้งประเด็นการเมือง
เป้าหมายก็คือ ไม่ให้มีการแตะรัฐบาลแม้แต่นิดเดียว
ในอีกด้านหนึ่งจึงมองข้ามบทบาทของอำนาจนิติบัญญัติมองข้ามบทบาทในการตรวจสอบและควบคุมรัฐบาล
ดำรงอยู่ไปวันๆในลักษณะรอคอยเหมือนที่ตนเองปฏิบัติ
ก็บอกแล้วว่าปัญหาของไวรัส โควิด-19 มิได้เป็นเรื่องของไวรัส มิได้เป็นเรื่องทางการแพทย์และสาธารณสุขล้วนๆ ตรงกันข้าม ได้สะท้อนปัญหาวิธีคิดออกมาด้วย
ภายในกระบวนการแก้ปัญหาก็แสดงถึงกระบวนการทางความคิด กระบวนการทางการบริหารจัดการ
ปัญหาสุขภาพอาจตรงกัน แต่ปัญหาวิธีคิดก็ต่างกัน
สถานการณ์เช่นนี้จึงจำเป็นต้องเปิดพื้นที่ให้กับกระบวนการคิดในเชิงวิพากษ์ จำแนกแยกแยะและจัดระบบ
นี่คือสภาพทางความคิดที่ท้าทายต่อผู้ไม่ยอมจำนนอย่างสูง