เผยแพร่ |
---|
ระหว่างแนวคิด “เจ็บแต่จบ” กับ แนวคิด”เรื่อยๆมาเรียงๆ”เมื่อเผชิญกับการแพร่ระบาดของ ไวรัส โควิด-๑๙ กำลังสัประยุทธ์กันอย่างคม แหลม
เป็นเรื่อยๆมาเรียงๆตั้งแต่เห็นว่าการเข้ามาของไวรัส โควิด-๑๙ ก็เหมือนกับ “ไข้หวัดธรรมดา”
เป็นเรื่อยๆมาเรียงๆที่ถือว่าเป้าหมาย”ท่องเที่ยว”นำ
แม้ว่าคนจีนจะได้ชื่อว่าเป็นรากฐานแห่งไวรัส แต่ก็ดำเนินไปอย่าง ผ่อนปรน ไม่เข้มงวดในการตรวจสอบ
นักท่องเที่ยว”จีน”สามารถเดินทางไปที่ใดก็ได้ตามปรารถนา
เป็นเรื่อยๆมาเรียงๆที่แม้ว่าจะมีการดำเนินมาตรการ”ปิดเมือง”ในต่างประเทศ แต่ของไทยชะลอไว้ก่อน
ตรงนี้เองที่มาการเสนอ”เจ็บแต่จบ”ออกมา
เหมือนกับคำว่า “เจ็บแต่จบ”จะเป็นการสรุปอย่างรวบรัดมาจากคนโต แห่งเมืองบุรีรัมย์
ไม่ใช่หรอก มีความเห็น”ร่วม”เช่นนี้มากมาย
ไม่ว่าจะเป็น “นายแพทย์” จากคณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
ล่าสุดเป็นข้อเสนอจาก”อดีต”ประธานรัฐสภา
พื้นฐานของแนวคิดเช่นนี้ก็คือ เข้มงวดกันอย่างจริงจัง ปิดเมือง ทำความสะอาดเมือง เหมือนกับ”รีโนเวต”เมือง รีโนเวต”ประเทศ”ให้เป็นเมืองใหม่ ประเทศใหม่
แต่ความคิด “เจ็บแต่จบ”ได้รับการต้านยันจากความคิด”เรื่อยๆมาเรียงๆ”อย่างฉับพลันทันใด โดยแย้งว่าจะเป็นผลเสียมากกว่าจะเป็นผลดี
ไทยเราต้องประนีประนอม เดินทางสายกลาง สุดโต่งไม่ได้
ไม่ว่าในที่สุดแล้วประเทศไทยจะเลือกเดินแนวทางสายใดระหว่างเรื่อยๆมาเรียงๆกับเจ็บแต่จบ
คนที่จะให้คำตอบนี้ก็คือ การแพร่ระบาดของ”ไวรัส”
จำนวนคนที่ได้รับผลกระทบ พื้นที่ที่แผ่ขยายออกจากติดมาจากสนามบิน เป็นในย่านชุมชน ไม่ว่าจะเป็นสนามมวย ร้านอาหาร จะเป็นปัจจัยชี้ขาด
ไม่ว่าจะต้องรับกับพลานุภาพของไวรัสนานแค่ใด ๑ ปี หรือ ๒ ปีก็มิอาจหลีกเลี่ยงความเจ็บปวดลงได้
แท้จริงแล้ว นี่คือการต่อสู้ ๒ แนวทางทั้งในชีวิตและในทางโลก