เผยแพร่ |
---|
หากดูจากความพยายามยุบพรรคการเมือง ไม่ว่าจะเป็นพรรคไทยรัก ไทยเมื่อปี ๒๕๕๐ ไม่ว่าจะเป็นพรรคพลังประชาชนเมื่อปี ๒๕๕๑ ไม่ว่า จะเป็นพรรคไทยรักษาชาติเมื่อปี ๒๕๖๒
ไม่ว่าจะเป็นพรรคอนาคตใหม่ในเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๖๓
คล้ายกับว่า ๑ พรรคการเมืองจะเป็นอุปสรรค จะเป็นปัญหา ขณะเดียวกัน ก็คล้ายกับว่า ๑ ตัวบุคคลไม่ว่าจะเป็น ทักษิณ ไม่ว่าจะ เป็นยิ่งลักษณ์ ไม่ว่าจะเป็น ธนาธร ไม่ว่าจะเป็นปิยบุตร
จะกลายเป็นเป้าหมายของการทำลายล้าง จะกลายเป็นเป้าหมายของความพยายามลบออกจาก”สารบบ” ทั้งๆที่ในความเป็นจริง
ไม่มีใครสามารถ “ลบ” ออกไปได้ ไม่ว่าจะเป็นพรรคการเมือง ไม่ว่าจะเป็นชื่อของตัวบุคคล
ตัวอย่างที่ชวนให้ปวดหัวอย่างที่สุดก็คือ เมื่อพยายามจะลบชื่อไทยรัก ไทยก็เกิดชื่อพลังประชาชน และเมื่อพยายามจะลบชื่อพลังประชาชนก็มีชื่อเพื่อไทย
ทุกอย่างดำเนินไปในลักษณะของ”อวตาร”
แม้ว่าจะต่างชื่อพรรค แม้ว่าจะต่างกรรมต่างวาระ แต่ชื่อของคนอันสัมพันธ์กับพรรคอย่าง ทักษิณ อย่าง ยิ่งลักษณ์ ก็ยังดำรงคงอยู่แม้ไม่มีสถานะอะไรในพรรคแล้วก็ตาม
นั่นก็เพราะว่า สิ่งที่สืบทอดและต่อเนื่องจากไทยรักไทยมายังเพื่อไทยมิได้เป็นเรื่องของ “รูปแบบ”
ตรงกันข้าม เป็นเรื่องของ”เนื้อหา” เป็นเรื่องของ “ความคิด”
ความคิดในแบบที่ นายทักษิณ ชินวัตร ประสบความสำเร็จ ความคิดในแบบที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ประสบความสำเร็จก็ยังอยู่
ผลก็คือ ไทยรักไทย พลังประชาชน เพื่อไทย ชนะตลอด
แทนที่ประสบการณ์จากกรณีของพรรคไทยรักไทย พรรคพลังประชาชน จะได้รับการสรุปและตกผลึกมาเป็นบทเรียน
แต่ก็ยังดำเนินกลยุทธ์เดียวกันกับ “พรรคอนาคตใหม่”
คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญตามคำร้องของคณะกรรมการการ เลือกตั้งอาจสามารถยุบพรรคอนาคตใหม่ ตัดสิทธิกรรมการบริหารได้จำนวนหนึ่ง
แต่ถามว่าตัดแนวทางและทิศทางที่”พรรคอนาคตใหม่”กำหนดและวางเอาไว้หรือไม่
คำตอบมิได้อยู่ใน”สายลม” แต่อยู่ใน”ความเป็นจริง”จากการทำ
บทเรียนจากกรณีของ ไทยรักไทย พลังประชาชน ที่ส่งมอบให้กับ เพื่อไทย กำลังเป็นบทเรียนต่อพรรคอนาคตใหม่ ต่อคณะอนาคตใหม่อย่างมีนัยสำคัญ