เผยแพร่ |
---|
ไม่ว่าจะมองกิจกรรม”วิ่งไล่ลุง”ด้วยสายตาของนักการทหาร ด้วยสาย ตาของนักการเมือง ด้วยสายตาของนักการตลาด
ต้องยอมรับว่าการเปิดตัว”กิจกรรม”นี้ประสบความสำเร็จ
เห็นได้จาก 1 ชื่อของกิจกรรม”วิ่งไล่ลุง”สามารถติดอยู่กับสองริมฝีปากของชาวบ้านได้อย่างรวดเร็ว
เห็นได้จาก 1 ปฏิกิริยาที่ตามมาแยกจำแนกอย่างเด่นชัด
ฝ่ายที่เห็นด้วยก็แห่กันแสดงความจำนงมากมายหลายพันจนต้องปิดรับชั่วคราว
ฝ่ายที่ไม่เห็นด้วยงัด”มาตรการ”หลายมาตรการมาสกัด ขัดขวาง
ไม่ว่าจะเป็นการนำเสนอกิจกรรม”วิ่งตามลุง”เพื่อเปรียบเทียบในแบบคู่ขนาน
ไม่ว่าจะเป็นการนำเอา”กฎหมาย”มาเป็นเครื่องมือ”กำจัด”
อาจเป็นเพราะตัวกิจกรรม”วิ่งไล่ลุง”ประสบความสำเร็จอย่างรวดเร็วจนเหลือเชื่อนั่นเอง กระแสในการสกัดขัดขวางจึงทวีความเข้มข้นเฉียบ ขาดเป็นลำดับ
ไม่ว่าเสียงสำทับอันมาจาก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หรือ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ตลอดจน พล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์
ทำให้”วิ่งไล่ลุง”มี”ตัวละคร”เข้าร่วมหลากหลาย
ตามความเคยชินเดิมหากบุคคลระดับนายกรัฐมนตรี รองนายกรัฐมนตรี ผบ.ทบ.เข้ามาร่วมกดดันก็ยากเป็นอย่างยิ่งกิจกรรมนั้นจะสามารถเดินหน้าไปได้
แต่กิจกรรม”วิ่งไล่ลุง” กลับตรงกันข้าม ยิ่งกดยิ่งดัน ยิ่งบีบยิ่งสำแดงตัวตนออกมา จากที่ไม่มีฤทธิ์มีเดช กลับมากด้วยฤทธิ์มากด้วยเดช
แสงแห่งสปอตไลต์ฉายจับไปยังกิจกรรม”วิ่งไล่ลุง”เจิดจ้า
กล่าวไปแล้วบทบาทของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา บทบาทของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ บทบาทของ พล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ นั่นแหละที่มีส่วนในการสร้างกิจกรรม”วิ่งไล่ลุง”
แม้เบื้องต้นไม่อยากให้กิจกรรม”วิ่งไล่ลุง”ได้เกิดขึ้น แต่แล้วทุกอย่างก็ดำเนินไปเหมือนพังเพยเก่าของไทย
นั่นก็คือ ยิ่งห้าม ก็เหมือนยิ่งยุ
ยิ่งปิดก็นำไปสู่การเปิด ยิ่งกดก็นำไปสู่การต้าน การต่อสู้และไม่ยอมจำนน
ในทางความคิดจึงถือได้ว่า”วิ่งไล่ลุง”ประสบความสำเร็จ