เผยแพร่ |
---|
คล้ายกับว่าความอัปยศทางการเมืองที่ปรากฎผ่านการประชุมเมื่อวันที่ 4 ธันวาคม จะรวมศูนย์ไปยังภาพแห่งการตัดสินใจของ 10 งูเห่า การเมือง
3 จากพรรคเพื่อไทย 2 จากพรรคอนาคตใหม่ 4 จากพรรคเศรษฐ กิจใหม่ 1 จากพรรคประชาชาติ
อาจใช่ แต่ก็เสมอเป็นเพียงส่วนหนึ่ง
หากแต่ความรับผิดชอบทั้งหมดสามารถสัมผัสได้จากงานมีตติ้งทางการเมืองในคืนวันที่ 3 ธันวาคม ณ สโมสรราชพฤกษ์ อันอวลด้วยรสโอชะของ”หูฉลาม”มากกว่า
ไม่ว่าจะเป็นเสียงไชโยดัง 3 คราติดต่อกันกึกก้อง ไม่ว่าจะเป็นอาการชื่นมื่นเบิกบานของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา
นั่นแหละคือความเป็นจริงอย่างที่สุดของการเมืองไทยปัจจุบัน
ทั้งหมดอาจมองได้ว่าเป็นภาพแห่งความอัปยศอดสูของการเมืองที่ไม่ว่าจะก่อรัฐประหารซ้ำแล้วซ้ำเล่าตั้งแต่เมื่อเดือนพฤศจิกายน 2490 กระทั่งเมื่อเดือนพฤษภาคม 2557
ก็ยังวนเวียน ซ้ำซากกระทั่งจมปลักกลายเป็น”น้ำเน่า”อยู่ภายใต้สิ่งที่เรียกว่า “วงจรอุบาทว์”
เพียงแต่เปลี่ยนตัวละครจาก จอมพล ป.พิบูลสงคราม เป็น จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ เป็น จอมพลถนอม กิตติขจร มาเป็น พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เท่านั้น
เมื่อมีพรรคเสรีมนังคศิลาก็มีพรรคชาติสังคม ก็มีพรรคสหประชา ไทย ก็มีพรรคชาติอธิปไตย ก็มีพรรคสามัคคีธรรม และที่สุดก็มีพรรคพลังประชารัฐ
โดยมีพรรคประชาธิปัตย์ พรรคภูมิใจไทย พรรคชาติไทยพัฒนาเป็นเหมือนใบเฟิร์นประดับแจกัน”รัฐประหาร”
ทวิลักษณะในทางการเมืองอาจต่ออายุการสืบทอดอำนาจของคสช.ผ่านพรรคพลังประชารัฐได้ในท่ามกลางเสียงไชโยโห่ร้องจากพรรคประ ชาธิปัตย์ พรรคภูมิใจไทย พรรคชาติไทยพัฒนา
แต่อีกด้านก็ทำให้สภาพความเป็นจริงของ”รัฐธรรมนูญ”เปลือยอยู่เบื้องหน้าประชาชน
ที่มีการวิเคราะห์และสังเคราะห์จาก นายจาตุรนต์ ฉายแสง จากนายปิยบุตร แสงกนกกุล ตั้งแต่ก่อนประชามติเมื่อเดือนสิงหาคม 2559 กระทั่งก่อนเลือกตั้งเดือนมีนาคม 2562
สัมผัสได้ในความเป็นจริงเมื่อวันที่ 3-4 ธันวาคม ครบถ้วน