เผยแพร่ |
---|
การที่อดีตผู้สมัคร ส.ส.ลาออกจากพรรคเดิม การที่สมาชิกพรรคลาออกตามไปกับอดีตผู้สมัคร ส.ส.เป็นเรื่องซึ่งเกิดขึ้นอย่างเป็นประจำ กระทั่งกลายเป็นเรื่องธรรมดา
ไม่ว่าพรรคประชาธิปัตย์ ไม่ว่าพรรคเพื่อไทย ไม่ว่าพรรคชาติไทย พัฒนา ไม่ว่าพรรคภูมิใจไทย ล้วนเคยประสบ
แต่ก็ไม่ได้เป็นข่าวอย่างอึกทึกครึกโครม
แต่เมื่อเกิดขึ้นกับพรรคอนาคตใหม่ ไม่ว่าจะจากอดีตผู้สมัคร ส.ส. ไม่ว่าจะจากบรรดาสมาชิกพรรค กลับกลายเป็นเรื่องใหญ่ ได้รับความสนใจเป็นอย่างสูง
ทั้งๆที่บรรดาอดีตผู้สมัคร ส.ส.ก็มิได้เป็นคนดัง
สะท้อนให้เห็นว่าแทบทุกเรื่อง และแทบทุกคนที่เคยมีสายสัมพันธ์ กับพรรคอนาคตใหม่ล้วนได้รับการจับตามองและให้ความสำคัญ
หากมองจากสภาพความเป็นจริงมีผู้สมัคร ส.ส.ทั้งในระบบเขต 350 เขต ทั้งระบบบัญชีรายชื่อ 120 คน
ในจำนวน 450 นี้มีที่ได้เป็น ส.ส.เพียง 81 คน
การมีอดีต ส.ส.จำนวน 4-5 คนยื่นใบลาออกจึงเป็นจำนวนที่น้อยอย่างยิ่งเมื่อเทียบกับ 81 คน
เช่นเดียวกับ การมีสมาชิกพรรคจำนวน 120 กว่ายื่นใบลาออกตามอดีตผู้สมัคร ส.ส.ไปด้วย หากเทียบกับ 60,000 กว่าของสมาชิก พรรคอนาคตใหม่ก็เป็นจำนวนน้อยอย่างยิ่ง
การที่กรณีนี้ได้รับความสนใจเพราะสังคมให้ความสำคัญกับบท บาทและความหมายของพรรคอนาคตใหม่อย่างเป็นพิเศษ
ไม่ว่าเรื่องที่กระทบเข้ามา ไม่ว่าดี ไม่ว่าร้าย จึงกลายเป็น”ข่าว”
สถานะของพรรคอนาคตใหม่จึงได้รับการเฝ้ามองและติดตามยิ่งกว่าพรรคประชาธิปัตย์ พรรคเพื่อไทย ด้วยซ้ำไป
สภาพเช่นนี้สะท้อนลักษณะ 2 ด้านของพรรคอนาคตใหม่ ด้านหนึ่ง ชี้ชัดว่าพรรคอยู่ในแสงแห่งสปอตไลต์ในทางการเมือง
มีความสำคัญที่สังคมควรให้ความสนใจ
ขณะเดียวกัน อีกด้านหนึ่ง ภายในความสนใจนั้นสังคมอยากอยากได้ใคร่รู้ว่า พรรคอนาคตใหม่จะเป็นอย่างไรต่อไปในอนาคต
นั่นก็คือ มี”อนาคต” หรือว่าอนาคต”ดับ”
มีความจำเป็นที่พรรคไม่เพียงแต่จะชี้ให้เห็นว่าพรรคอนาคตใหม่ประเมินชะตากรรมของตนอย่างไร ยอมจำนน หรือว่าเดินหน้าต่อไป
การปฏิบัติที่เป็นจริงนั่นแหละคือคำตอบ