เผยแพร่ |
---|
จากการเลือกตั้งเมื่อเดือนมีนาคมมาถึงเดือนตุลาคมก็ 8 เดือน หากนับจากการขานชื่อนายกรัฐมนตรีเมื่อเดือนมิถุนายนก็ 5 เดือน
หากนับจากการแถลงนโยบายเมื่อเดือนกรกฎาคมก็ 4 เดือน
เป็น 8 เดือนแห่งการก่อรูปขึ้นของสภาผู้แทนราษฎร เป็น 5 เดือนของการก่อรูปขึ้นของคณะรัฐมนตรี และเป็น 4 เดือนของการเริ่มต้นของรัฐบาลเต็มรูปแบบ
การเต็มรูปแบบของ”รัฐบาล”นั่นหมายถึงการสิ้นสุดลงไปโดยอัตโนมัติของ “คสช.”
การยกเลิกมาตรา 44 จากบทเฉพาะกาลของรัฐธรรมนูญ
นี่คือการเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญจากยุคแห่ง”รัฐประ หาร” เข้าสู่ยุคที่ค่อยๆปรกติมากยิ่งขึ้นในทางการเมือง
บรรยากาศที่เห็นก็คือ ความคึกคักอันสัมผัสได้ไม่ว่าจะจากฝ่ายรัฐ บาลหรือฝ่ายค้าน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในสภาผู้แทนราษฎรอันมา จากการเลือกตั้งของประชาชน
เห็นได้จาก ส.ส.นำปัญหาในพื้นที่มาแจ้งผ่านที่ประชุม
เห็นได้จาก ส.ส.ตั้งกระทู้ถามสดหรือขอหารือในประเด็นสำคัญ
เห็นได้จาก ส.ส.ยื่นญัตติเพื่อจัดตั้งกรรมาธิการวิสามัญ
เห็นได้จาก 7 พรรคร่วมฝ่ายค้านยื่นญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไปตามมาตรา 152 ของรัฐธรรมนูญ
เห็นได้จากความคึกคักของ 7 พรรคร่วมฝ่ายค้าน
ในความคึกคักอันสัมผัสได้จากพรรคเพื่อไทย พรรคอนาคต ใหม่ พรรคเสรีรวมไทย พรรคเศรษฐกิจใหม่ พรรคประชาชาติ พรรคเพื่อชาติ พรรคพลังปวงชนชาวไทย
สังคมก็เห็นความเก้ๆกังๆอันมาจากอดีตคสช.เก่า ไม่ว่าจะเป็น พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ไม่ว่าจะเป็น พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ
รวมถึงได้ยินคำพูดอันถวิลหาอาวรณ์”อำนาจ”แบบเก่าๆ
ในทางธรรมชาติ เมื่อฤดูกาลเปลี่ยนจากหน้าร้อนเข้าสู่หน้าฝน จากหน้าฝนเข้าสู่หน้าหนาว
ย่อมมีความจำเป็นต้องเปลี่ยนเสื้อผ้าอาภรณ์ให้เหมาะสม
อุปมาธรรมชาติฉันใด อุปมัยการเมืองก็ฉันนั้น กล่าวคือ เมื่อ เปลี่ยนผ่านจากยุค”รัฐประหาร” ค่อยเหยียบบาทก้าวเข้าสู่ความเป็น “ประชาธิปไตย” ความคิดก็ต้องปรับเปลี่ยนให้เหมาะสม