การดำรงอยู่ในฐานะประธานวุฒิสภาส่งผลให้ไปดำรงอยู่ในฐานะ รองประธานรัฐสภาโดยอัตโนมัติ

สภาพอัตโนมัตินี้เป็นทั้งคุณและทั้ง”อันตราย”

เป็นคุณคือ สามารถขยายบทบาทของตนไปในท่ามกลาง ส.ส.ได้

เป็นอันตรายคือ หากมิได้ได้รับการยอมรับในหมู่ส.ส.ก็อาจจะส่งผลให้การประชุมรัฐสภาไม่สามารถดำเนินไปด้วยความ ราบรื่น

อย่างที่เห็นอย่างเด่นชัดในการประชุมรัฐสภาระหว่างวันที่ 25 วันที่ 26 ถึงวันที่ 27 กรกฎาคมที่ผ่านมา

นั่นเป็นกรณีเฉพาะของ ท่าน”พรเพชร”

 

เหตุผลเพราะ นายพรเพชร วิชิตพรชัย มีบทบาทเป็นอย่างสูงจากรัฐประหารเมื่อเดือนพฤษภาคม 2557

ได้เข้าไปอยู่ใน”แม่น้ำ 5 สาย”

ตำแหน่งสำคัญที่รับรู้กันก็คือ เป็นสมาชิกสภานิติบัญญัติหรือสนช. และได้รับเลือกให้ดำรงตำแหน่งเป็นประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ

รับผิดชอบตั้งแต่หลังรัฐประหารเมื่อเดือนพฤษภาคม 2557 กระทั่งหลังประกาศผลรับรอง ส.ส.เมื่อเดือนพฤษภาคม 2562

ก็ได้รับแต่งตั้งให้เป็น สมาชิกวุฒิสภา(ส.ว.)

และก็ได้รับความไว้วางใจจาก ส.ว.ให้ดำรงตำแหน่งเป็นประธานวุฒิสภา ซึ่งก็ได้เข้าดำรงตำแหน่งเป็นรองประธานรัฐสภา ไปด้วยในขณะเดียวกัน

ความจัดเจนจากการเป็นประธานสนช.อาจทำให้สามารถทำ งานได้ราบรื่นระดับหนึ่ง แต่เมื่อเข้าดำรงตำแหน่งประธานในฐานะรองประธานรัฐสภา ความจัดเจนนั้นเกือบจะไม่เป็นประโยชน์เมื่อเผชิญกับ ส.ส.

ไม่เป็นประโยชน์เพราะแอกหนักที่ต้องเผชิญก็คือ สถานะที่เคยได้อานิสงส์จากรัฐประหารและขบวนการรัฐประหาร

 

ตราบใดที่การสืบทอดอำนาจของคสช.ผ่าน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ยังดำรงอยู่โดยมี 250 ส.ว.เป็นฐานรองรับอันหนักแน่นและมั่นคง

การดำรงอยู่ของ นายพรเพชร วิชิตพรชัย ก็จะกลายเป็นปัญหาอยู่ เป็นปัญหาทั้งกับตนเอง เป็นปัญหาทั้งในระหว่างเป็นประธาน