เผยแพร่ |
---|
ไม่ว่าจะเห็นด้วย ไม่ว่าจะไม่เห็นด้วยกับกระบวนท่าของพรรคประ ชาธิปัตย์ในระหว่างการดีลกับพรรคพลังประชารัฐ
แต่ก็น่าศึกษาในเรื่อง “กลยุทธ์”
อย่างน้อยการเจรจาต่อรองอันมาจากพรรคประชาธิปัตย์ก็ดำเนินไปบนพื้นฐานแห่งการร่วมกันจัดตั้งรัฐบาลกับพรรคพลังประชารัฐก็ก่อให้เกิดผลสะเทือน
1 เหมือนกับจะเป็นการร่วม แต่ 1 ภายในการร่วมนั้นกลับสา มารถเป็นอาวุธที่พรรคพลังประชารัฐอยู่ในภาวะกลืนไม่เข้า คายไม่ออก
นั่นก็เพราะพรรคประชาธิปัตย์สามารถใช้ 53 เสียงที่มีอยู่ให้ กลายเป็นปัจจัยที่พรรคพลังประชารัฐไม่สามารถปฏิเสธได้
แล้วจากนั้นก็เปิดเกมต่อรองและเรียกร้อง
ขอให้ศึกษากระบวนท่าในการต่อรองของพรรคประชาธิปัตย์ว่าดำเนินไปอย่างไร
ทั้งในนามของพรรค ทั้งในนามของส่วนตัว
ในนามของพรรคมีการต่อรองเรื่องตำแหน่งแน่นอน แต่ในการต่อรองนั้นก็มีเงื่อนไข โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเสนอในเรื่องการ แก้ไขรัฐธรรมนูญ
รู้ทั้งรู้ว่าพรรคพลังประชารัฐไม่มีวันยอมอย่างเด็ดขาด แต่ทำไมจึงหยั่งเชิงเหมือนลองของ
เหมือนกับเสนอข้อเรียกร้องจะเอากระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงพาณิชย์ อันเท่ากับไปทุบกล่องดวงใจของ 4 ยอดกุมารและกลุ่มสามมิตร
ขณะเดียวกัน ที่กระทำอย่างเป็นเอกเทศผ่าน นายเทพไท เสนพงศ์ ผ่าน นายวัชระ เพ็ชรทอง คือการปฏิเสธบทบาทและความหมายของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา
ท่วงทำนองแบบนี้เป็นความสลับซับซ้อนอย่างยิ่งในทางการเมือง เหมือนกับจะเจรจาแต่ไม่อยากให้ประสบความสำเร็จ
พลันที่พรรคพลังประชารัฐออกมาขู่ในเรื่องรัฐบาลเสียงข้างน้อย ในเรื่องการยุบสภา ภายหลังจากผบ.ทบ.เดินทางเข้าทำเนียบรัฐบาล
เท่ากับประสานพลังการเมือง การทหารเข้าด้วยกัน
สังคมเริ่มรู้แล้วว่าท่าทีของพรรคประชาธิปัตย์ พรรคภูมิใจไทย สร้างความหงุดหงิดให้พรรคพลังประชารัฐในทางเป็นจริง
ความหงุดหงิดของพรรคพลังประชารัฐจึงเท่ากับเป็นคำตอบ