เผยแพร่ |
---|
ไม่ว่าภาพที่เห็นจากการคัดสรร 250 ส.ว.โดยคสช. ไม่ว่าภาพที่เห็นจากการใช้สูตรคำณวน ส.ส.บัญชีรายชื่อโดยกกต. ไม่ว่าภาพ การต่อรองเก้าอี้รัฐมนตรีกับพรรคพลังประชารัฐ
ล้วนเป็นภาพอันสะท้อนสภาพความเป็นจริงของการเมืองอัน เกิดขึ้นและดำรงอยู่
สรุปรวมได้ว่าเป็นการเมืองในยุค”คสช.”
นั่นก็คือ การเมืองจากเมื่อเดือนพฤษภาคม 2557 มายังการ เมืองในเดือนพฤษภาคม 2562
เป็นฝีมือและความสามารถของ”คสช.”ล้วนๆ
ไม่ว่าจะมองผ่าน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ไม่ว่าจะมองผ่าน “แม่น้ำ 5 สาย” ไม่ว่าจะมองผ่านพรรคพลังประชารัฐ
เห็นได้อย่างเด่นชัด สัมผัสได้โดยตรง
ถามว่าอะไรคือเหตุปัจจัยทำให้การเมืองภายหลังการเลือกตั้งเมื่อ วันที่ 24 มีนาคม เกิดขึ้นและดำรงอยู่เช่นนี้
คำตอบเพราะว่า “เจตนา” กับ”ผล”ไม่เป็นเอกภาพ
เจตนาที่เด่นชัดเป็นอย่างมากก็คือ ต้องการต่อท่อและสืบทอดอำนาจต่อไป
เห็นได้จากที่กำหนดในรัฐธรรมนูญ
ทุกอย่างเป็นไปอย่างที่ นายสมศักดิ์ เทพสุทิน สรุป”รัฐธรรม นูญฉบับนี้ DESIGN มาเพื่อพวกเรา”
แต่ผลกลับปรากฏออกมาอย่างชนิดสวนทางกัน
รูปธรรมง่ายๆก็คือ พรรคพลังประชารัฐไม่สามารถเอาชนะ พรรคเพื่อไทยได้ นั่นก็เพราะได้รับเลือกเข้ามาเพียง 115 ขณะที่พรรคเพื่อไทยได้ 137
ยิ่งกว่านั้น พรรคอนาคตยังได้มาถึง 87
ตรงนี้แหละจึงนำไปสู่การคิดสูตรทำให้พรรคอนาคตใหม่ลดลง 7 แต่ถึงอย่างนั้นเมื่อพรรคพลังประชารัฐได้มาเพียง 115
อำนาจการต่อรองกับพรรคการเมืองอื่นจึงลดลง
เมื่อเจตนาหรือความตั้งใจไม่เป็นเอกภาพกับผลที่ปรากฏผ่านการเลือกตั้ง จึงนำมาซึ่งการต้องยอมอ่อนข้อ
การเคลื่อนไหวระหว่างพรรคพลังประชารัฐ พรรคประชาธิปัตย์ พรรคภูมิใจไทย พรรคชาติไทยพัฒนา จึงเด่นชัด
เด่นชัดเป็นการเมืองที่”คสช.”จำเป็นต้องอ่อนข้อ