เผยแพร่ |
---|
ความสำเร็จของพรรคอนาคตใหม่ในการเลือกตั้งเมื่อเดือนมีนาคม สร้างความสะสาแก่ใจเป็นอย่างสูงในทางการเมือง
โดยเฉพาะต่อบรรดาผู้ที่เคยสบประมาท
ไม่ว่าอดีต”ซ้ายเก่า”ที่เปลี่ยนสีแปรธาตุบางคนที่อ้างความจัดเจนของตนมา “บล๊าฟ”
ไม่ว่าบรรดานักการเมืองในพรรคที่มีอาวุโสมากกว่าซึ่งเคยมองจังหวะก้าวพรรคอนาคตใหม่ด้วยท่าทีไยไพ ในท่วงทำนองอาบน้ำร้อนมาก่อน
เหมือนกับว่าบทเรียนของพรรคอนาคตใหม่จะสะเทือนต่อบางพรรคเก่าแก่ หรือบรรดานักเคลื่อนไหวรุ่นก่อน ทั้งๆที่ความจริงจะมากยิ่งกว่านั้น
แม้กระทั่งตัวพรรคอนาคตใหม่เองก็ต้องมีพลวัตตลอดเวลา
บทสรุปเช่นนี้มิได้เป็นบทสรุปตามหลักแห่งอนิจจังของพุทธธรรม เพียงอย่างเดียว หากแต่เมื่อมองจากรากฐานแห่งไดอะเล็กติกในกระสวนของเฮเกลก็ไม่เว้น
ยิ่งเมื่อมองตามนัยของโพสต์โมเดิร์นตามกฎแห่งการแปรผันพลิกเปลี่ยน
นั่นก็คือ ความมีชีวิตของสรรพสิ่ง
ยิ่งเห็นได้ชัดว่าผลสะเทือนจากการเกิดขึ้นของพรรคอนาคต ใหม่กำลังก่อลักษณะ”ดิสรัพท์” อย่างเสมอภาค ครบถ้วนเหมือนกับวิถีดำเนินแห่งเวลา
นั่นก็คือ เวลาพร้อมจะกัดกินแม้กระทั่งตัวของเวลาเอง
มิใช่ว่าเป้าหมายการทำลายล้างจะมีแต่ต่อพรรคฝ่ายตรงกัน ข้ามอย่างพรรคในเครือข่ายคสช.และต้องการฟอกขาวให้กับการสืบทอดอำนาจของคสช.
หากแม้กระทั่งภายในพันธมิตรอันก่อรูปเป็นแนวร่วมต่อต้าน การสืบทอดอำนาจคสช.ก็ไม่เว้น
นี่ย่อมเป็นพลานุภาพจากการแจ้งเกิดของพรรคอนาคตใหม่
บทสรุปเช่นนี้ด้านหลักอาจมาจากท่าทีและการเคลื่อนไหวอย่างเอาการเอางานของคสช.ภายหลังการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 24 มีนาคม
เพราะถนนทุกสายกระหน่ำไปยังพรรคอนาคตใหม่
ท่าทีของคสช.คือคำตอบของการปรากฏตัวของพรรคอนาคตใหม่และยุทธศาสตร์อย่างแท้จริงของคสช.
ในอีกด้านจึงเท่ากับยอมรับสถานะของพรรคอนาคตใหม่