พลันที่กกต.ออก”กฎเหล็ก”ห้ามนำภาพของบางคนอย่างเช่น นายทักษิณ ชินวัตร หรือ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร มาพิมพ์หรือใช้เป็นอุป กรณ์ในป้ายโฆษณาหาเสียง

ก็เท่ากับว่า “สถานะ”ในทางการเมืองของ นายทักษิณ ชินวัตร และ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ได้รับการยอมรับ

ยอมรับว่าสามารถส่งผลดี ผลเสีย

ผลดีก็คือ ต่อเจ้าของป้ายโฆษณาหาเสียงนั้น เพราะหากไม่เห็นว่าเป็นผลดีก็คงไม่นำมาเป็นภาพประดับตีคู่มากับเจ้าของป้าย เจ้าของเบอร์

ขณะเดียวกัน ผลเสียย่อมตกและกระทบไปยังพรรคฝ่ายและผู้สมัครตรงกันข้าม

“สถานะ”ทางการเมืองเช่นนี้ได้มาอย่างไร

 

รัฐประหารเมื่อเดือนกันยายน 2549 ส่งผลให้ นายทักษิณ ชินวัตร ทะยานมาอยู่ในจุดอันเป็น “บุคคลต้องห้าม”ทางการเมือง

แม้เจ้าตัวจะอยู่ที่อื่น แต่เพียง”ภาพ”ก็กลายเป็นเรื่อง

เพียงพรรคเพื่อไทยเผยแพร่สโลแกน “ทักษิณคิด เพื่อไทยทำ” ก็ส่งผลให้พรรคเพื่อไทยได้ชัยชนะอย่างถล่มทลายในการเลือกตั้ง เมื่อเดือนกรกฎาคม 2554

ที่เด่นชัดคือ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ได้เป็น”นายกรัฐมนตรี”หญิงคนแรกของการเมืองไทย

น่าแปลกที่หลังรัฐประหารเมื่อเดือนพฤษภาคม 2557 แม้เป้าหมายจะต้องการกำจัด น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร แต่กลับทำให้นามของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร มี “สถานะ”ทางการเมือง

เมื่อภาพและนาม น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ไปวางเรียงอยู่เคียงข้างกับภาพและนาม นายทักษิณ ชินวัตร ก็เป็นเรื่อง

สั่นสะเทือนอย่างกว้างขวาง ลึกซึ้ง

ก่อให้เกิดความรู้สึกทั้งชื่นชม ยินดี ปรีติ ปราโมทย์ และรังเกียจ เดียดฉันท์ หวาดหวั่น พรั่นพรึง

 

ในการเลือกตั้งเมื่อเดือนธันวาคม 2550 อาจแค่ห้ามอย่างเงียบเชียบ แต่พอมาถึงการเลือกตั้งเดือนกรกฎาคม 2554 อาจหวั่นไหว มากยิ่งขึ้น

มาถึงการเลือกตั้งเดือนกุมภาพันธ์ 2561 ถึงกับห้ามเลย

ในคำสั่ง”ห้าม”จึงเท่ากับเป็นการยอมรับในอิทธิพลที่ดำรงอยู่ของ นายทักษิณ ชินวัตร และ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เด่นชัด

เป็นอิทธิพลเหมือนกับภูตผีและเทพเทวาทางการเมือง