หากมองจากความมั่นใจภายในพรรคพลังประชารัฐ รากฐานใหญ่ และสำคัญมาจากการประเมินผลและให้ค่ากับการใช้”พลังดูด”ขึ้น สูงเด่นอย่างเป็นพิเศษ

ประเมินว่าเมื่อได้คนจาก “พรรคเพื่อไทย”ก็ย่อมเอาชนะพรรค เพื่อไทยได้

เมื่อได้คนจาก”พรรคประชาธิปัตย์”ก็ชนะพรรคประชาธิปัตย์

ไม่ว่าจะเป็นนักการเมืองอย่าง นายสมศักดิ์ เทพสุทิน นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ หรือแม้กระทั่ง นายสุภรณ์ อัตถาวงศ์ จึงได้รับการต้อนรับอย่างเป็นพิเศษ

รวมไปถึงตระกูลใหญ่จากชลบุรี สมุทรปราการ กาญจนบุรี ที่ไหลมารวมอย่างหนาแน่น

มองเห็นแต่ด้าน”รุก” กระทั่งมองข้ามด้าน”รับ”

 

ด้านรับที่ภายในพรรคพลังประชารัฐเพิกเฉยอย่างเจตนา คือพิษอันติดมาพร้อมกับนักการเมืองซึ่งอ่อนระทวยด้วย “พลังดูด” ว่ามีอะไรบ้าง

คนอย่าง นายสมศักดิ์ เทพสุทิน ซึ่งโยงสายลากยาวไปถึงแม้กระทั่ง นายมนตรี พงษ์พานิช

หรือ นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ กับ จีทีเอ็กซ์

ยิ่งคนในตระกูลใหญ่ของชลบุรี สมุทรปราการ กาญจนบุรี ยิ่งเป็นเรื่องที่รับรู้กันอย่างกว้างขวาง

ความแหลมคมย่อมสัมพันธ์ไปยัง “มวลมหาประชาชน”

เพราะความสำเร็จของรัฐประหารเมื่อเดือนพฤษภาคม 2557 สัมพันธ์กับการเคลื่อนไหวของกปปส.โดย นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ที่เดินแนวเดียวกับพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย

เป้าหมาย คือ ปฏิรูปก่อนเลือกตั้ง

และเมื่อปฏิรูปจากเดือนพฤษภาคม 2557 มายังพรรคพลังประชารัฐในเดือนพฤศจิกายน 2561 ก็สวนทางย้อนแย้งอย่างยิ่ง

เท่ากับเหลา “ไม้ไผ่” กลายเป็น “บ้อง” กัญชา

 

มวลชนคนไทยนับแต่รัฐประหาร 2549 มายังรัฐประหาร 2557 แยกออกเป็น 2 กลุ่มใหญ่

กลุ่มเสื้อแดงก็มีเป้าหมายของตนเด่นชัด ไม่แปรเปลี่ยน

แต่กลุ่มเสื้อเหลือง มวลมหาประชาชนต่างหากที่ถูกยัดเยียดให้ต้องเลือกนักการเมืองอย่าง นายสมศักดิ์ เทพสุทิน

เป็นการยัดเยียดมาให้โดยพรรคพลังประชารัฐ