เผยแพร่ |
---|
ถึงแม้นับจากการเลือกตั้งเมื่อเดือนมกราคม 2544 เป็นต้นมา ชัยชนะของพรรคไทยรักไทย จะทำให้การแข่งขันในเรื่อง”นโยบาย”มีความสำคัญมากยิ่งขึ้น
สำคัญชี้ขาดชัยชนะในการเลือกตั้งเดือนกุมภาพันธ์ 2548
แต่ภายหลังผ่านรัฐประหารเมื่อเดือนกันยายน 2549 กลยุทธ์ ในเรื่อง “นโยบาย” จะมีบทบาทและความหมาย แต่ประเด็นเรื่องรัฐประหารก็เริ่มเข้ามามีผลสะเทือน
ผลสะเทือนต่อการเลือกตั้งในเดือนธันวาคม 2550 และมีผลสะเทือนต่อเนื่องไปยังการเลือกตั้งในเดือนกรกฎาคม 2554
แต่เมื่อเกิดรัฐประหารเดือนพฤษภาคม 2557 ซ้ำเข้ามาอีก
ผลสะเทือนจากกรณี “รัฐประหาร”ทำท่าว่าจะกลายเป็นด้านซึ่งครอบงำกระบวนการ “เลือกตั้ง”มากยิ่งขึ้น
การเลือกตั้งในเดือนกุมภาพันธ์ 2562 มีกระแสเร่งเร้าในเรื่องของ “นโยบาย” ต่อแต่ละพรรคการเมือง
แต่เมื่อปรากฏ “พรรคพลังประชารัฐ”
แต่เมื่อปรากฏ “พรรครวมพลังประชาชาติไทย” ประสานเข้ากับ “พรรคประชาชนปฏิรูป”
กระบวนการของ “นโยบาย”ก็เริ่มมี “ปัญหา”
ในเมื่อพรรคประชาชนปฏิรูป พรรครวมพลังประชาชาติไทย งอก่องอขิงอยู่ ณ เบื้องหน้าการสืบทอดอำนาจของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา
ในเมื่อพรรคพลังประชารัฐสะท้อนความต่อเนื่องของนโยบาย “ประชารัฐ” ภายใต้การขับเคลื่อนโครงการ”ไทยนิยม ยั่ง ยืน”
อย่าได้แปลกใจหากจะมีคำประกาศไม่ว่าจะจากลอนดอน ไม่ว่าจะจากสิงคโปร์
“นโยบาย คือ ทำตรงกันข้ามกับคสช.”
มีความเด่นชัดมากยิ่งขึ้นว่ากระแสของการเคลื่อนไหวหาเสียงการ เลือกตั้งในเดือนกุมภาพันธ์ 2562 แม้นโยบายจะยังมีความสำคัญ แต่ที่สำคัญยิ่งกว่านั้น
1 จะเป็นการประจันหน้าระหว่างคสช.กับฝ่ายที่ไม่เอากับคสช.
นั่นหมายถึง 1 เอารัฐประหาร 1 ไม่เอารัฐประหาร
ประเด็น”การเมือง”จะได้รับการชูขึ้นสูงเด่นและกลายเป็น “นโยบาย”สำคัญ