เผยแพร่ |
---|
อย่าไปหงุดหงิดกับการเปิด “โรงเรียนการเมือง” ของพรรครวมพลัง ประชาชาติไทยเลย
เพราะนั่น คือ ความกล้าหาญ
อย่างน้อย นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ก็กล้า”แหย่”เข้าไปภายในกระบวนการของ “คสช.”
อาจจะอาศัยความสนิทชิดใกล้
อย่างน้อยสายสัมพันธ์ที่ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ เคยมีกับ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ตั้งแต่ทำงานร่วมกันในศอฉ.เมื่อเดือน เมษายน พฤษภาคม 2553 ก็เป็นปัจจัย 1
ประเด็นอยู่ที่เมื่อ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ เปิดโรงเรียนแล้วทางด้าน “คสช.”จะมีท่าทีอย่างไรต่างหาก
เพราะหากเฉยๆก็เท่ากับเป็น”บรรทัดฐาน”
ถึงแม้ว่าพรรคเพื่อไทยอาจจะถูกเพ่งเล็งอย่างเป็นพิเศษ ขยับนิดขยับหน่อยก็ไม่ได้
แต่ใช่ว่าพรรคประชาธิปัตย์จะถูกเพ่งเล็งไปด้วย
ขณะเดียวกัน หากมองจากพื้นฐานการขยับขับเคลื่อนของ
“กลุ่มสามมิตร”ว่าสามารถทำได้
“นปช.” อาจมิอาจเคลื่อนไหวอะไรได้
เพราะสายตาของ”คสช.”ที่มองไปยังนปช.ก็เป็นสายตาอันขุ่นมัวเช่นเดียวกับที่มองไปยังพรรคเพื่อไทย
แต่นั่นมิได้หมายความว่า”กลุ่มเกรียน”จะขยับมิได้
หากมองในแง่ดี การขยับของพรรครวมพลังประชาชาติไทย การขยายของกลุ่มสามมิตร หากว่า”คสช.”ไม่สกัดขัดขวาง ก็เท่ากับเป็น”บรรทัดฐาน”ให้กับพรรคและกลุ่มการเมืองอื่น
เมื่อพรรคและกลุ่มการเมืองอื่นเดินตามรอยของพรรครวมพลังประชาชาติไทยและกลุ่มสามมิตร
เท่ากับ”ล็อก”ก็จะค่อยๆคลายไปโดย”อัตโนมัติ”
ปรากฏการณ์ในแบบพรรครวมพลังประชาชาติไทย ปรากฏการณ์ในแบบกลุ่มสามมิตสะท้อน “ดับเบิล สแตนดาร์ด”
สะท้อนถึงความลำเอียง ไม่เที่ยงธรรม อันมีจุดเริ่มต้นมาจาก”คสช.”และกลายเป็นโรคระบาดที่เกิดขึ้นและดำรงอยู่ภายในสังคมไทย
ความรับผิดชอบทั้งหมดย่อมอยู่กับ”คสช.”