คำสอนของคนโบราณล้านนา ‘หากอยากจะเย็นให้อาบน้ำวังหิน’

คันฯใครฯ่เอยฯนฯ ฯหื้อฯอาบฯฯนาฯํ้ฯวังฯหินฯ คันฯใครฯ่มีสินฯ หื้อฯหมฯั่ฯรค้า คันฯใครฯ่ขึ้นฯชั้นฯฟ้า หื้อฯหมฯั่ฯรทานฯ

อ่านเป็นภาษาล้านนาว่า “กันใค่เย็นหื้ออาบน้ำวังหิน กันใค่มีสินหื้อหมั่นก๊า กันใค่ขึ้นจั๊นฟ้าหื้อหมั่นตาน”

แปลว่า หากอยากจะเย็นให้อาบน้ำวังหิน ซึ่งเป็นแอ่งน้ำลึกในธรรมชาติที่มีหินล้อมรอบ น้ำวังหินจะเย็นจัดมากทั้งปีทั้งชาติ

หากอยากจะรวยให้หมั่นทำการค้าขาย

หากอยากขึ้นสวรรค์ให้หมั่นสร้างกุศล

ข้างต้นคือวั สรุปว่า หากจะหวังสิ่งใด มีแต่ต้องทำเอง หมั่นเพียรสร้างเองจึงจะสมหวัง การไปบนบานศาลกล่าว หรือฝากความหวังไว้กับอะไรที่ลมแล้งๆ จะไม่ได้สมปรารถนา เช่น ต้องทำบุญทำกุศล บุญจึงจะหนุนนำไปสู่สวรรค์

คำคมนี้สะท้อนถึงความหวัง แต่ไม่ได้บอกให้หวังเฉยๆ ไม่ได้บอกให้ไปอ้อนวอนขอสิ่งศักดิ์สิทธิ์ แต่บอกให้ทำแต่เหตุ และผลที่หวังไว้จะตามมาเอง

หน้าร้อนหวังอยากจะให้เย็นลงคนโบราณสั่งให้ไปอาบน้ำวังหิน หวังอยากจะรวยก็ต้องรู้จักหาเงินมาใช้จ่ายโดยทำการค้าขาย ส่วนหวังอยากขึ้นสวรรค์เขาก็เสนอให้ทำบุญ

นาฯํ้ฯในวังฯหินฯทึงฯลึกฯทึงฯขยฯวทึงฯเอยฯนฯแท้ว่า น้ำในวังหินตึงลึกตึงเขียวตึงเย็นแต๊ว่า แปลว่า น้ำในวังหินทั้งลึก ทั้งเขียว ทั้งเย็นจัดเสียจริงๆ

ท่านพุทธทาสภิกขุเขียนถึงความหวังเอาไว้ว่า

“ความหวัง คือ ความต้องการด้วยความโง่อย่างรุนแรง ความต้องการอย่างรุนแรง ด้วยความโง่อย่างรุนแรงตลอดเวลา นี้เราเรียกว่า…’ความหวัง’

จะเรียนหนังสือก็เรียนด้วยใจคอปกติ อย่าทำด้วยความหวัง มันจะบ้าจะเป็นโรคประสาทและจะบ้า

จะทำการงานประกอบอาชีพก็อย่าทำด้วยความหวัง แต่ให้ทำโดยปกติด้วยสติปัญญา

จะมีแฟน หาคู่ครองอะไร ก็อย่าทำด้วยความหวัง มันจะโง่ มันจะเป็นโรคประสาทมันจะบ้า

จงทำด้วยสติปัญญาปกติที่สุดแหละ

แม้ประกอบกิจกรรมกันไปก็ทำด้วยสติปัญญา อย่าผลุนผลันด้วยกิเลสตัณหา ที่เป็นความหวังหรือเป็นความโง่

นี่ถ้าชีวิตของเราดำเนินไปด้วยสติปัญญาปราศจาก ‘ความหวัง’ โดยประการทั้งปวงแล้ว มันเป็นชีวิตที่เย็นอยู่ด้วยพระนิพพานตลอดทั้งวันทั้งคืน ทั้งหลับทั้งตื่น”

ราวกับว่าท่านพุทธทาสกำลังขยายความของเหตุ และผลของความหวัง ตามคำสอนของคนโบราณว่า จงทำทุกอย่างด้วยสติปัญญา ทำดังนี้แล้วจึงจะประสบความสำเร็จ กระทั่งหวังถึงพระนิพพานก็ย่อมได้ •

 

ล้านนาคำเมือง | ชมรมฮักตั๋วเมือง