ในศาสตร์สงครามกับ “กองทัพคอร์รัปชั่น”

อภิญญา ตะวันออก
(Photo by AFP)

เซอร์ไพรส์มากที่สหรัฐมอบอาวุธหนัก-แพทริออตให้ยูเครนในการรับมือปูติน ราวกับเป็นของขวัญพิเศษในการครบรอบต่อสู้กับรัสเซียอย่างทรหดมาครบปี

นี่ไม่ใช่ความบังเอิญหรอกนะที่หิมะฝั่งทวีปอเมริกาเหนือก็ตกหนักสุดในรอบ 100 ปี

แต่เมื่อกึ่งศตวรรษก่อน “ฝนดาวตก” ก็เคยเกิดขึ้นแล้วในภูมิภาคนี้ที่เขตโฮจิมินห์เทร็ลเขตสมรภูมิของ 3 ประเทศ ลาว-เวียดนาม-กัมพูชาที่สหรัฐส่งกองทหารของตนมารบกับคอมมิวนิสต์

และอย่างที่ทราบ อเมริกาก็พ่ายแพ้แก่ภูมิภาคนี้

ผู้เชี่ยวชาญด้านความมั่นคงคนหนึ่งบอกฉันว่า ถ้าไม่ถูกกดดันจากอเมริกันชนจนต้องถอนทหารแล้ว ไม่มีทางเป็นไปได้ที่คณะพล พต จะชนะลอน นอล/เขมรสาธารณะ ไม่ว่าจะในปี 1975 หรือหลังจากนั้น

แต่ฉันกลับเห็นว่า ปัญหาคอร์รัปชั่นนำกัมพูชาไปสู่อวสาน

จาก New York times

โดยไม่ลืมว่า การถอนกองทัพออกจากเวียดนามและกัมพูชา ทำให้ไซ่ง่อน-พนมเปญซึ่งเป็นระบอบตัวแทนสหรัฐถึงกาลกับล้มครืนแล้ว

ยังทำให้ 3 ประเทศสมุนเก่าอินโดจีนเปลี่ยนไปสู่ระบอบคอมมิวนิสต์ของจีนและสหภาพโซเวียต ถือเป็นความพ่ายแพ้แก่ยุคสงครามเย็นยกแรกของอเมริกัน

แต่ไม่กี่ปีมานี้ อเมริกันก็ซ้ำรอยเก่าที่อัฟกานิสถาน ด้วยปัญหาเดิมๆ คือการคอร์รัปชั่นอันวายวอดของรัฐบาลที่ตนคุ้มครอง ช่างเป็นสงครามที่แก้ไม่เคยตก

จนมาถึงรอบ “ยูเครน” ซึ่งอาจเป็นกรณีที่แตกต่างไปด้วยความลงตัวทั้งเวลาและคุณภาพ

และด้วยเหตุนั้นหรือไม่ ถึงทำให้อเมริกาถวายพานแพทริออต-อาวุธที่มีประสิทธิภาพและราคาที่อาจทำให้ฝ่ายศัตรูขนหัวลุกคืออยู่ที่ 3 หมื่นกว่าล้านบาท ส่วนกระสุนพิสัยไกลที่ยิงออกไปหรือราว 100 ล้านบาทในแต่ละนัด!

ใจถึง-พึ่งได้

และยังแสดงให้เห็นว่าถ้าคุณพวกไม่คอร์รัปชั่น กล้าหาญมุ่งตรงที่จะเรียนรู้เทคโนโลยีของอาวุธชนิดนั้น คุณไม่ถูกเราทอดทิ้ง!

เว้นเสียแต่กองกำลังท้องถิ่นจะฆ่าตัวตายด้วยการเอาอาวุธที่มอบให้ไปค้าในตลาดมืด ซึ่งพบว่าสมรภูมิที่กัมพูชาและเวียดนามใต้มอบบทเรียนนี้มาอย่างดีในปี 1970

ซึ่งท้ายที่สุดแล้วก็เป็นหายนะร่วมกัน

จาก @reddit

เชื่อไหม ตลอด 5 ปียุคเขมรสาธารณะ (1970-1975) นั้น การคอร์รัปชั่นช่างมีทุกรูปแบบทั้งนอกในสงคราม เพราะขณะช่วยรบไป ด้านหนึ่งของยูนิฟอร์ม หน่วยองคาพยพต่างๆ ก็ช่วยกันขโมยอาวุธยุทธภัณฑ์ เวชภัณฑ์ เสบียงอาหาร ตั้งแต่บุหรี่เป็นคอตตอนไปยันน้ำมันเครื่องบินที่ไว้ใช้ในกองทัพ!

โชคดีที่ฝ่ายเขมรแดงไม่มีนักบิน ไม่งั้นทั้งเฮลิคอปเตอร์และเครื่องบินคงถูกขายยกลำ

นี่ไม่ใช่เรื่องล้อเล่น อย่างที่ทราบ หนหนึ่ง ประธานาธิบดีลอน นอล ถึงกับหัวเสีย สั่งห้ามเครื่องบินทุกประเภทบินผ่านพนมเปญ หลังจากที่เขาถูกเครื่องบินโจมตี

และผู้ที่ปฏิบัติการบนเครื่องบินลำนั้น ก็เป็นนายทหารอากาศที่ขับเครื่องบินมาจากฐานทัพของจังหวัดกำปงสปือ ส่วนอาวุธและระเบิดที่ใช้ถล่มทำเนียบจัมกามอนของนายพลลอน นอล ก็มาจากการขโมยมา ซึ่งต่อจากนั้น นาวาอากาศเอกคนดังกล่าวก็ขับเครื่องบินหายไปในป่าลึกซึ่งเป็นเขตปลดแอกของพล พต

โชคดีที่ทหารเขมรแดงมีขีดความสามารถต่ำ พวกเขาใช้เป็นแต่ปืนครกประทับบ่า ดังนี้ เรื่องการขโมยเครื่องบินยกลำไปจึงไร้ประโยชน์!

กระนั้น เหมือนเล่นเกมโปลิศจับขโมยที่เกิดขึ้นตลอดเวลาระหว่างสงครามในภูมิภาคนี้ การลักลอบอาวุธไปขายฝ่ายตรงข้ามที่นับวันจะเต็มไปด้วยหลักเหลี่ยมของแต่ละหน่วยเหล่าตั้งแต่ระดับบนจนถึงล่าง!

กองทหารจีไอจึงไม่ได้สู้กับเวียดกงแบบกองโจรเท่านั้น

แต่ยังต้องต่อสู้กับกองทัพพันธมิตรของฝ่ายลอน นอล ที่พร้อมจะขายความลับของหน่วยตนต่อทหารป่าเขมรแดง จนแยกไม่ได้ว่าใครเป็นมิตรหรือศัตรู

ทำให้พวกเขาต้องสูญเสียศักยภาพมากมายไปกับข้อมูลลวงพราง ทั้งหน่วยรัฐบาลท้องถิ่นและประชาชนซึ่งร้ายแรงเสียกว่าการสูญเสียอาวุธยุทโธปกรณ์

และรัฐบาลของลอน นอล ไม่ว่าจะตั้งมาสักกี่ชุดก็ไม่เคยแก้ปัญหาได้เลยสักครั้ง

ตรงข้ามพวกเขากลับร่วมกันทำเป็นขบวนการ ซึ่งนับวันมีแต่จะยิ่งสยดสยอง!

ด้วยเหตุนี้ สิ่งที่อเมริกันทำได้อย่างมาก ก็คือการโจมตีทางอากาศไปทั่วเขตเวียดกงในกัมพูชา

ทว่า ยิ่งถล่มมากเท่าใด อาวุธในคลังก็ยิ่งหายมากเท่านั้น

และถึงขั้นที่ว่าหน่วยงานกองทัพไปร่วมมือเอกชนกันทำมาหากินอย่างเอิกเกริกโอฬาริก

ด้วยฉากเล่าต่อไปนี้ บางทีหน่วยสืบราชการลับที่แฝงตัวไปในหมู่ทหารลอน นอลในเขตพนมเปญ-กำปงสปือที่เป็นแค่ดงตาลป่าละเมาะ แต่จู่ๆ พวกเขาก็ตกอยู่ในวงล้อมแห่งความอึมครึมที่มองไม่เห็นแม้เงาศัตรู

แต่ในที่สุด ก็ต้องถอนกำลังด้วยตัวเปล่า ทิ้งอาวุธและอุปกรณ์สื่อสารที่สำคัญเท่าที่มี เพื่อรักษาชีวิตทุกคนให้เหลือรอดจากกับดักแห่งนั้น!

วันหนึ่ง จู่ๆ กับดักเช่นเดิมแบบนั้นกลับไม่อาจต่อรองอีกต่อไป เมื่อกลุ่มช่างภาพและคณะนักข่าวต่างประเทศที่ออกเดินทางกันเป็นขบวนพากันไปที่แห่งหนึ่งและไม่กลับออกมาอีกเลย!

จาก @www.history.con

แต่ความคลุมเครือและฉ้อฉลนี้ก็ใช่ว่ากองทัพอเมริกันจะไม่ทำอะไร

พวกเขายังคงเดินหน้าสแกนหาด้วยเครื่องมือบางอย่างไม่ต่างจากเครื่องตรวจกับดักระเบิด ด้วยการส่งหน่วยลับไปทำงานในองค์กรนอกรัฐบาลอย่างเอ็นจีโอ

ในบางพื้นที่ เช่น พระตะบอง เราจึงพบว่า อดีตนักวิจัยชนกลุ่มน้อยชาวบารังจากเวียดนาม จู่ๆ ก็มาทำงานเป็นนักวิจัยด้านสิ่งแวดล้อมพันธุ์พืชเขตร้อนและชลประทาน

การออกสำรวจอ่างเก็บน้ำของเขา พลัน นำไปสู่เรื่องการสร้างเขื่อนที่คืออำนาจทั้งฝ่ายสังคมนิยมและทุนนิยมเสรีที่มาทิ้งบอมบ์ไว้กับภูมิภาคนี้

นี่เป็นการตั้งสมมุติฐาน-ทฤษฎีอีกข้อหนึ่งที่เกิดขึ้นมาพร้อมกันสงครามอินโดจีน

ถ้าความจริงในความลับของกองทัพว่าด้วยสงครามคือการคอร์รัปชั่นที่ไม่เคยสูญพันธุ์ การฉ้อฉลเช่นนั้นยิ่งนานปีและนับวันก็ยิ่งแยบยลพิสดาร มันยังแทรกอยู่ในทุกมิติอณูของภูมิภาคนี้อย่างที่ไม่มีดีกรีลดลง

ทั้งที่สงครามก็จบไปนานแล้ว

ตัวอย่างสมัยเขมร ที่บัดนี้ยังถูกนำมาจำลองใช้ในกองทัพของภูมิภาคนี้ อาทิ ระบบการจ่ายค่าสินไหมชดเชยแก่หน่วยรบที่ตายในสมรภูมิ ที่อนิจจา เงินสินไหมบำรุงขวัญจากงบฯ หน่วยลับอเมริกัน กลับถูกระบอบฉ้อฉลของผู้บังคับบัญชากองทัพลอน นอล-หักคอมมิสชั่นเข้ากระเป๋าตัวเอง

และนี่คือหนึ่งใน 108 ด้านของเงาอดีตที่ยังมืดมน ราวกับสงครามไม่หายไปไหนในภูมิภาคนี้ มันยังคงฝังรากมากับสงครามต่อต้านคอมมิวนิสต์ ไม่ว่าไทย ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย ที่ต่างกินบุญเก่าเหล่านั้น กลับมีราคาที่ต้องจ่ายตามมากับการซื้ออาวุธยุทธภัณฑ์และการคอร์รัปชั่นจากวัฒนธรรมเงินทอนคอมมิสชั่น

ราวกับเป็นดีเอ็นเอของกองทัพแห่งภูมิภาคนี้

มันยังเป็นทฤษฎีที่เกือบจะเรียกว่าการสมคบคิดที่สมบูรณ์แบบหรือไม่? ความจริงที่ว่า นายทหารชั้นอีลิตที่กำลังเผชิญกับวิกฤตรัดเข็มสมัยสมัยสีหนุคิสต์ที่ใช้เงินอย่างมือเติบ กลับร่ำรวยในทางลับ ฤๅเป็นข้อกล่าวหาที่ไม่ควรพิสูจน์ทราบ?

เช่นเดียวกับนายพลไทยผ้าขาวม้าแดง สฤษดิ์ ธนะรัชต์ หรือ “ถนอม-ประภาส” ที่ล้วนแต่ร่ำรวยผิดปกติ แต่ไม่สามารถพิสูจน์ทราบแหล่งที่มาของทรัพย์สินนั่น

ในความเป็นยุคร่วมสมัยเดียวกัน ให้น่าสังเกตว่า อเมริกันไม่ได้ทิ้งบอมบ์ในสงครามคอมมิวนิสต์ที่เขมรและเวียดนาม ทว่า มันโดมิโนนั้นยังเป็นระเบิดลูกระนาดที่ติดดาบอำนาจแฝงแก่ทหารอีลิตชนชั้นนำ จนกลายเป็น “ดีเอ็นเอ” พันธุ์เดียวกันด้านคอร์รัปชั่นจากติดเชื้อความมั่งคั่งที่มาจากสงครามและความละโมบ

ที่แม้สมรภูมิสงครามอินโดจีนจะสิ้นสุดไปหลายทศวรรษแล้ว แต่ผลพวงคอร์รัปชั่นที่รุ่งเรืองเฟื่องฟู ที่แม้วอชิงตันจะพยายามปิดแผลเรื้อรังด้วยการแอนตี้คอร์รัปชั่นซึ่งก็ช้าไปมาก เมื่อศาสตร์เฉพาะทางแห่งวงจรอุบาทว์นี้ ได้ฝังลึกในทุกสารบบ โดยเฉพาะองค์กรด้านความมั่นคงของภูมิภาคนี้

ไม่เท่านั้น ความสัมพันธ์ที่ไม่หวนคืนในกัมพูชาและเข้ามาแทรกกลางของพรรคคอมมิวนิสต์จีนยังกลายเป็นหลุมดำของภูมิภาคและอาจเช่นเดียวกับไทย ตราบใดที่แรงจูงใจในคอมมิสชั่นยังเป็นปัญหาหลักที่ยังแก้ไม่ตก

ก็อย่าหมายเลยว่า หมู่บ้านนี้จะสงบ!