On History : OnlyFans หนังผู้ใหญ่ ผิดศีลธรรมจริงหรือ?

ศิริพจน์ เหล่ามานะเจริญ
ภาพประกอบจาก crazygadgetshere.com

 

 

OnlyFans

หนังผู้ใหญ่

ผิดศีลธรรมจริงหรือ?

 

กรณีเจ้าหน้าที่ตำรวจไซเบอร์จ่อเอาผิด “OnlyFans Sex Creator” ชื่อดัง ในความผิดฐาน พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ และความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา เรื่องการชักชวนให้ผู้อื่นกระทำอนาจาร

ทำให้สังคมบางส่วนเกิดคำถามว่า การแสดง “หนังผู้ใหญ่” ด้วยความเต็มใจของเธอนั้น เป็นความผิดร้ายแรงในเชิงศีลธรรมด้วยจริงหรือ

ในเมื่อบ้านนี้เมืองนี้ยังมีอีกสารพัดกรณี ที่น่าจะผิดร้ายแรงมากกว่าถ้าจะว่ากันด้วยเรื่องของ sex?

และถ้าจะว่ากันให้ถึงที่สุดแล้ว การมี sex หรือการแสดงหนังผู้ใหญ่โดยเต็มใจนั้น มันเป็นเรื่องผิดบาปตรงไหน?

 

คุณไมเคิล ไรท์ อดีตคอลัมนิสต์ชื่อดัง ระดับฝรั่งคลั่งสยามผู้ล่วงลับ เคยเขียนอธิบายความหมายเกี่ยวกับคำว่า “sex” ในภาษาอังกฤษไว้ในมติชนสุดสัปดาห์ นิตยสารเดียวกันกับที่ทุกท่านกำลังอ่านอยู่นี่แหละว่า

“sex” เป็นภาษาละติน แปลว่า “หก” หมายถึงบัญญัติข้อที่หกในบัญญัติสิบประการของพระเจ้าที่โมเสสรับเอามาจากเขาไซนาย แล้วเก็บไว้ในหีบพันธสัญญาที่เป็นสัญลักษณ์แทนตัวของพระเป็นเจ้า บัญญัติทั้งสิบประการนี้จึงศักดิ์สิทธิ์เป็นที่สุด

ส่วนเจ้าบัญญัติข้อที่หกนี้ว่าด้วยการ “ห้ามละเมิดลูกเขาเมียใคร” คำว่า “sex” ในภาษาอังกฤษจึงมีความหมายเกี่ยวข้องกับเพศ และวัตรปฏิบัติทางเพศ

ถึงคุณไมค์จะไม่ได้เชื่อมโยงอะไรเข้ากับพุทธศาสนาในไทย แต่ก็คงจะเห็นได้ไม่ยากว่า เจ้าบัญญัติข้อที่ว่านี้ คล้ายกันอยู่กับศีลข้อที่สามของชาวพุทธที่ว่าด้วย “กาเมสุมิจฉาจาร” เพราะในแต่ละสังคมย่อมมีกติการ่วมกันว่าด้วยเรื่องเพศอยู่ด้วยเป็นปกติ

ที่น่าสนใจก็คือ “กาเมสุมิจฉาจารา เวรมณี” ในศีลข้อที่สามของชาวพุทธมีความหมายแปลตรงตัวว่า “การละเว้นประพฤติผิดในกาม” ต่อมาอรรถกถาจารย์ฝ่ายเถรวาทค่อยตีความเพิ่มเติมว่า “ห้ามละเมิดลูกเมียเขา” อย่างที่เรามักจะเข้าใจกันในปัจจุบัน

แปลความได้ว่า อรรถกถาจารย์ฝ่ายพุทธเถรวาทตีความคำสอนของพระพุทธเจ้าว่า การประพฤติผิดทางเพศในที่นี้หมายถึงการไม่เบียดเบียนทางเพศต่อเพื่อนบ้าน และครอบครัวของผู้อื่น การตีความอย่างนี้แสดงให้เห็นถึงนัยยะทางสังคมอย่างชัดเจน และแทบจะไม่แสดงความคิดเห็นเชิงอภิปรัชญาเลยนะครับ

จะเห็นได้ว่า การห้ามละเมิดลูกเขาเมียใครของอรรถกถาจารย์ ไม่ได้กล่าวหาว่าการมีเมียหรือผัวหลายคนเป็นบาปกรรม ตราบใดที่ไม่ได้เบียดเบียนผู้อื่น และพฤติกรรมทางเพศที่ไม่ได้ไปเบียดเบียนเพื่อนบ้าน จนเกิดการทะเลาะเบาะแว้งในสังคม ก็ดูจะไม่ได้เป็นสิ่งที่ผิดด้วยเช่นกัน ดังนั้น การรับชม และรวมถึงการแสดงหนังผู้ใหญ่ ก็ควรจะไม่ใช่สิ่งที่ผิด ถ้าไม่ได้สร้างความเดือดร้อนให้กับใครอื่นในสังคมด้วยเช่นกัน

 

ยิ่งเมื่อพิจารณาจากส่วนที่ไม่ใช่ฆราวาสธรรม อย่างพระวินัย ตามหลักพระปาติโมกข์ ภิกษุผู้ใดมีเพศสัมพันธ์กับสตรีเป็น “ปาราชิก” ขาดจากภิกษุภาวะทันที แต่หากภิกษุผู้ใดประกอบอัตกามกิจ นับเป็น “สังฆาทิเสส” ซึ่งเป็นการผิดพลาดใหญ่ แต่ปลงได้ด้วยการเข้าปริวาส และสวดมานัต ไม่ถึงกับขาดภิกษุภาวะ

แน่นอนว่าการที่ภิกษุประกอบ “อัตกามกิจ” หรือ “ช่วยตัวเอง” อาจจะไม่ผิดบาปเท่ากับการมีสัมพันธ์สวาทกับหญิงสาว (อย่างน้อยก็ไม่ผิดทางกายกรรมเท่า แม้ว่าทางมโนกรรมอาจจะไปเสียจนไกลสุดกู่แล้วก็เหอะ)

แต่ผมอยากจะเดาเพิ่มเติมว่า การประกอบกามกิจกับหญิงสาว หรือชายหนุ่ม เป็นการ “เบียดเบียน” คือ “สั่นคลอน” โครงสร้างทางสังคม

ในขณะที่การประกอบกามกิจด้วยตัวเองไม่เป็นการเบียดเบียนผู้อื่นในสังคม

ที่เป็นอย่างนี้เพราะ “กาเมสุมิจฉาจาร” ของพุทธศาสนาเถรวาทเน้นที่การกระทำเชิงสังคมมากกว่าหลักอภิปรัชญา

ลักษณะที่ว่าเปิดพื้นที่ให้กับ “ครอบครัว” ในวัฒนธรรมของทั้งชมพูทวีป และอุษาคเนย์ ที่ “ผู้หญิง” และ “ลูก-หลาน” หมายถึงเครือข่ายของอำนาจ ไม่ว่าจะเป็นทางการค้า หรือการเมือง ข้อความในหนังสือวินาศิขะตันตระที่แต่งขึ้นในชมพูทวีป และมีชื่ออ้างถึงอยู่ในจารึกสด๊กก็อกธมของขอมที่ว่าด้วยการสถาปนา “เทวราชา” กล่าวถึงการสถาปนาชายาทั้งสี่ก่อนที่พระอิศวรจะขึ้นเป็นราชาเหนือทวยเทพทั้งหลาย

พิธีบรมราชาภิเษกของกัมพูชายังมีหลักฐานว่าต้องอภิเษกชายาสี่คนเป็นความหมายของเครือข่ายสี่ทิศในอุดมคติ

แม้กระทั่งในตำแหน่งพระไอยการนาพลเรือน กฎหมายตราสามดวง ยังกล่าวถึงตำแหน่งพระสนมเอก 4 ท้าว ได้แก่ อินสุเรนทร ศรีสุดาจัน อินทรเทวี และศรีจุฬาลักษ

ชื่อตำแหน่งเหล่านี้สัมพันธ์อยู่กับเมืองสำคัญที่เป็นเครือข่ายอำนาจของอยุธยาอย่าง นครศรีธรรมราช ลพบุรี สุพรรณบุรี และสุโขทัย พระเจ้าแผ่นดินในสมัยอยุธยา เรื่อยมาจนถึงยุครัตนโกสินทร์ ก่อนสมัยรัชกาลที่ 7 จึงทรงเป็นหน่อพุทธางกูรได้ทั้งๆ ที่ต่างก็มีชายากันไม่น้อยกว่าสิบ

เอาเข้าจริงแล้ว “กาเมสุมิฉาจาร” หรือข้อพึงประพฤติเกี่ยวกับ “กาม” สำหรับฆราวาสในพุทธศาสนาเถรวาทจึงไม่ได้มุ่งควบคุมไปที่ การครองชีวิตคู่, ความคิดเรื่องพรหมจรรย์ (ในความหมายแบบที่เข้าใจกันในปัจจุบัน), เพศรส ฯลฯ อย่างที่มักจะเข้าใจกันในชั้นหลัง แต่กลับเอื้อต่อวัฒนธรรม ผี-พราหมณ์-พุทธ ของสังคมวัฒนธรรมทั้งในชมพูทวีป และอุษาคเนย์ต่างหาก

 

แล้วความเข้าใจผิดอย่างที่ว่ามาจากไหน?

คุณไมค์คนดีคนเดิมอธิบายว่า เรื่องนี้คงต้องย้อนกลับไปที่นักคิดทางด้านเทวศาสตร์ศีลธรรม (Moral Theology) ในคริสต์ศาสนายุคเริ่มแรกที่ได้แปลความ และพัฒนาความคิดเกี่ยวกับ “sex” บัญญัติข้อที่หก ในบัญญัติสิบประการไปอีกไกลว่า “กาม” มีไว้เพื่อสืบพันธุ์ และเป็นการ “สร้าง” (Creation) ที่สะท้อนงานสร้างจักรวาล (Creation) ของพระผู้เป็นเจ้า

ดังนั้น “กาม” จึงเป็นเรื่อง “ศักดิ์สิทธิ์” ที่ต้องควบคุม และใช้เฉพาะเพื่อการสืบพันธุ์ การเสพกามโดยใช้เครื่อง หรือยาคุมกำเนิด การสังวาสระหว่างเพศเดียวกัน (ในความหมายเชิงกายภาพ) หรือการประกอบอัตกามบริหาร (ชักว่าว, ตกเบ็ด) ล้วนเป็นบาปหนัก เพราะถือเป็นการขัดขืนแผนผังของจักรวาลที่พระเป็นเจ้าได้กำหนดเอาไว้

นี่เป็นเหตุให้การประกอบเพศรสในหลายๆ รูปแบบกลายเป็นเรื่องน่าละอาย

การแปลความบัญญัติข้อที่หกอย่างนี้ต่างไปจากการตีความของอรรถกถาจารย์เถรวาท เพราะพวกคริสต์เน้นไปที่ลักษณะเชิงอภิปรัชญา แล้วนำมาใช้เป็นข้อกำหนดในสังคมอีกทอดหนึ่ง

เห็นได้จากเมื่อศาสนาคริสต์จัดตั้งเป็นองค์กร โดยเฉพาะในช่วงยุคกลาง ที่บัญญัติข้อที่หกถูกใช้เป็นเครื่องมือข่มขู่บังคับ และควบคุมสังคม

 

ขบวนการนี้มาถึงจุดสุดยอด (ผมหมายถึง climax นะครับ ไม่ใช่ orgasm) ในอังกฤษยุคพระนางเจ้าวิกตอเรีย ที่ยกย่องเจ้านายเป็น “ผู้ดี” และเหยียดหยามสามัญชนให้เป็น “คนเลว, คนบาป” ในยุคนี้แม้แต่คำที่มีความหมายชวนให้ถึงเพศรสอย่าง “หน้าอก” (breast) และ “สะโพก” (hip) ยังหายไปจากภาษาอังกฤษ จนต้องเรียกอกไก่ว่า “white meat” และสะโพกไก่ว่า “dark meat” แต่ในสมัยนั้นกลับมีแฟชั่นที่นิยมเสริมหน้าอก และสะโพกผู้หญิงให้ใหญ่โต จนพิลึกผิดธรรมชาติ

วัฒนธรรมแบบวิกตอเรียนแพร่กระจายไปทั่วโลกในยุคที่อังกฤษเป็นประเทศที่พระอาทิตย์ไม่เคยลับขอบฟ้า การล่าอาณานิคมของพระนางทำให้ sex ในความหมายแบบคริสต์ศาสนา โดยเฉพาะแบบวิกตอเรียน ที่หลบซ่อนอย่างละอายในเบื้องหน้า แต่เน่าเฟะอยู่ลับหลัง กระจายไปพร้อมๆ กับภารกิจของคนขาว ที่ต้องนำ “อารยะ” ไปเผยแพร่สู่ชนชาติป่าเถื่อนในสายตาฝรั่ง

กระแสวัฒนธรรมที่ว่าทำให้ความหมายของ “กาเมสุมิจฉาจาร” ในแบบดั้งเดิมเปลี่ยนแปลงไปพร้อมวัฒนธรรม และการตีความแบบตะวันตก ค่านิยมที่เกี่ยวกับ sex ในวัฒนธรรมไทยจึงเปลี่ยนไปจากเดิม sex ไม่ได้เป็นแค่เรื่องที่ละอาย แต่กลายเป็นเรื่องที่ผิดบาปไปด้วย

ที่แย่ยิ่งกว่าคือ เมื่อ sex ในความหมายแบบวิกตอเรียนหมดความนิยมไปในโลกตะวันตก ไทยในฐานะที่ยังสลัดไม่หลุดจากการเป็นอาณานิคมอำพรางกลับยังจำกัดความความหมายเรื่อง “กามกิจ” ตามแบบวิกตอเรียนอยู่ โดยเข้าใจไปเองว่าเป็นวัฒนธรรมไทยแท้ ที่บัญญัติขึ้นตามศีลธรรมคำสอนของพุทธศาสนาเถรวาทมันเสียอย่างนั้น

ดังนั้น ถ้าจะมีใครลุกขึ้นมาแสดงหนังผู้ใหญ่ให้ใครต่อใครรับชมกัน แม้ว่าจะด้วยความเต็มใจของเธอเองก็ตาม จึงได้กลายเป็นสิ่งที่ยอมรับไม่ได้ในสังคมไทย ที่เอะอะอะไรก็อ้างแต่หลักธรรมในพระพุทธศาสนา แต่ไม่ค่อยจะตรวจสอบกันว่า พระศาสดาได้เคยบอกเอาไว้อย่างนั้นจริงๆ หรือเปล่า?