ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 16 - 22 กรกฎาคม 2564 |
---|---|
คอลัมน์ | On History |
ผู้เขียน | ศิริพจน์ เหล่ามานะเจริญ |
เผยแพร่ |
‘หม้อสามขา’ ภาชนะศักดิ์สิทธิ์
ในลัทธิความเชื่อเรื่อง ‘ขวัญ’ และ ‘แถน’
เมื่อ 3,000 ปีที่แล้ว
ในยุคสำริดของวัฒนธรรมจีน ที่มีศูนย์กลางอยู่ที่ลุ่มแม่น้ำหวงเหอ (ซึ่งมักจะเรียกกันตามสำเนียงที่ไม่ใช่จีนกลางว่า ฮวงโห) หรือที่นักประวัติศาสตร์จีนเรียกว่า สมัยราชวงศ์ชาง (ราว 3,600-3,000 ปีมาแล้ว) นั้น ได้เกิดการผสมผสานระหว่างลัทธิบูชาเทพเจ้าแห่งดิน ซึ่งเป็นเทพแห่งความอุดมสมบูรณ์ (ว่ามีที่มาจากดินแดนเมโสโปเตเมีย) เข้ากับลัทธิการบูชาบรรพชนที่มีอยู่เดิมในวัฒนธรรมจีน แล้วค่อยพัฒนาความเชื่อด้วยการหลอมรวมให้ผีบรรพชนของราชวงศ์ชางที่เรียกว่า “ชางตี้” (Shangdi) กลายเป็นหนึ่งเดียวกันกับเทพเจ้า
ต่อมาในสมัยราชวงศ์โจว ซึ่งสถาปนาราชวงศ์โดยการเถลิงอำนาจขึ้นเหนือลุ่มแม่น้ำฮวงโห ต่อจากราชวงศ์ชางนั้น ได้เปลี่ยนคำศัพท์ที่ใช้สำหรับเรียก “ชางตี้” เป็นคำว่า “เทียน” ที่แปลว่า “ฟ้า” หรือ “สวรรค์” แทน
แถมคำว่า “เทียน” นี้ ก็ยังคงถูกใช้ในโลกภาษาจีนมาจนกระทั่งทุกวันนี้อีกด้วยนะครับ
แน่นอนว่า กษัตริย์ราชวงศ์โจวย่อมไม่คิดที่จะเรียกอำนาจบรรพชนของตนเอง ด้วยชื่อของราชวงศ์ชาง
แต่สิ่งที่น่าสนใจยิ่งไปกว่านั้นก็คือ เป็นที่ยอมรับกันโดยทั่วไปว่า คำว่า “เทียน” ในสำเนียงจีนกลางนั้น ตรงกับคำว่า “แถน” ในภาษาไทย ซึ่งก็เป็นที่รับรู้กันเป็นอย่างดีในแวดวงผู้สนใจประวัติศาสตร์ และวัฒนธรรมมาเนิ่นนานแล้วเลยทีเดียว และอันที่จริงแล้ว หลายครั้งเลยทีเดียวที่ “แถน” จะถูกเรียกแทนด้วยคำว่า “เทียน” หรือ “ฟ้า” กันได้เป็นปกติ
ความเชื่อเรื่องแถนนี้ เป็นส่วนหนึ่งของความเชื่อเรื่อง “ขวัญ” โดยในสำเนียงจีนกลางนั้นก็มีคำพ้องเสียงกับคำว่าขวัญคือคำว่า “เฮวิ๋น” ไม่ต่างไปจากคำว่าแถน
และก็แน่นอนด้วยว่า ในจีนนั้นก็มีความเชื่อ และพิธีกรรมที่เกี่ยวข้องกับขวัญอย่าง “การทำขวัญ” ด้วยเหมือนกัน
ดังนั้น จึงอาจจะสังเกตได้ว่า อย่างน้อยก็ตั้งแต่ในช่วงราชวงศ์โจวเป็นต้นมา มีการแลกเปลี่ยนรูปแบบความเชื่อเรื่อง “ขวัญ” และ “แถน” กันระหว่างวัฒนธรรมจีน และอุษาคเนย์ โดยเฉพาะกลุ่มคนที่พูดภาษาตระกูลไท (เมื่อพิจารณาว่า ทั้งขวัญและแถน เป็นการออกเสียงคำเหล่านี้ด้วยสำเนียงภาษาตระกูลไท)
แต่ที่จริงแล้ว การแลกเปลี่ยนดังกล่าวอาจจะมีมาก่อนหน้ายุคราชวงศ์โจวเสียอีกนะครับ
เพราะเป็นที่ยอมรับกันในหมู่นักโบราณคดีโลกว่า ยุคสมัยทางประวัติศาสตร์ที่จีนอ้างว่ามีราชวงศ์ชางปกครองอยู่นั้น พัฒนามาจากกลุ่มชุมชนในวัฒนธรรมยุคหินใหม่ ต่อเนื่องมาจนถึงต้นยุคสำริด ทางตอนกลางและตอนล่างของลุ่มน้ำหวงเหอ (ฮวงโห) ที่เรียกว่า วัฒนธรรมหลงซาน (Longshan culture, หรือที่เดิมในแวดวงโบราณคดีไทย มักเรียกด้วยสำเนียงที่ไม่ใช่จีนกลางว่า วัฒนธรรมลุงซาน) ที่มีอายุอยู่ระหว่าง 5,000-3,900 ปีมาแล้ว
วัฒนธรรมหลงซานนั้นมีโบราณวัตถุประเภทเด่น (diagnostic artifact) ชนิดหนึ่งก็คือ “หม้อสามขา” ซึ่งแม้จะไม่ทราบหน้าที่การใช้งานอย่างชัดเจน แต่ก็เป็นที่ยอมรับกันว่า “หม้อสามขา” หรือที่เรียกกันในภาษาจีนกลางว่า “เหอ” (he) นั้น เป็นภาชนะสำหรับใช้งานในพิธีกรรม
และอะไรที่เรียกว่า “หม้อสามขา” นั้น ก็เป็นสิ่งที่ถูกนักโบราณคดีขุดพบในภูมิภาคอุษาคเนย์ โดยเฉพาะพื้นที่ประเทศไทยด้วย แถมยังมีการค้นพบเป็นจำนวนมากพอสมควรอีกด้วยต่างหาก

บุคคลที่กรมศิลปากรยกย่องให้เป็นบิดาแห่งวิชาโบราณคดีก่อนประวัติศาสตร์ของไทยอย่าง ศ.ชิน อยู่ดี ได้เสนอเอาไว้ว่า หม้อสามขาแบบที่พบในไทยนี้ สามารถเปรียบเทียบได้กับหม้อสามขาในวัฒนธรรมหลงซาน ที่มีอายุอยู่ร่วมสมัยกัน
และแม้ข้อเสนอของ อ.ชินจะเป็นที่ถกเถียงกันอย่างที่ไม่มีผลสรุปชัดเจนออกมา แต่ก็ดูเหมือนว่าไม่ใคร่จะมีผู้ใดสนใจศึกษาในแง่ของความหมายและหน้าที่การใช้งาน มากเท่ากับการเปรียบเทียบในเชิงรูปแบบของภาชนะ และเอาเข้าจริงแล้วก็ดูเหมือนว่า จะไม่มีใครศึกษาเปรียบเทียบความสัมพันธ์ระหว่างหม้อสามขาที่พบในอุษาคเนย์ กับภาชนะเหอในวัฒนธรรมหลงซานอย่างจริงจังเสียด้วยซ้ำไป
ถึงแม้ว่านักโบราณคดีกำหนดอายุหม้อสามขาเหล่านี้ อยู่ในช่วงสมัยหินใหม่ของอุษาคเนย์ ซึ่งกรมศิลปากรกำหนดอายุไว้ที่ราว 4,000 ปีมาแล้ว แต่ค่าอายุดังกล่าวยังสามารถเปลี่ยนแปลงได้ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขของแต่ละแหล่งโบราณคดี ซึ่งอาจจะไม่ได้เก่าแก่ไปจนถึง 4,000 ปีที่แล้ว และก็เป็นไปได้ว่า อาจมาพร้อมกับการติดต่อแลกเปลี่ยนกันระหว่างราชวงศ์ชาง และผู้คนในอุษาคเนย์ยุคโน้น
โดยเฉพาะเมื่อเรามีหลักฐานของความเชื่อเรื่อง “ขวัญ” และ “แถน” ทั้งในวัฒนธรรมจีนสมัยราชวงศ์ชาง และอุษาคเนย์ ก็ชวนให้คิดไปได้อยู่มากว่า “หม้อสามขา” เหล่านี้ก็คือ ภาชนะที่ถูกใช้ในพิธีกรรมความเชื่อในลัทธิพิธีดึกดำบรรพ์ ที่เป็นต้นเค้าของความเชื่อเรื่อง “ขวัญ” เหมือนในปัจจุบันหรือเปล่า?
สิ่งที่ควรจะสังเกตอีกอย่างก็คือ ในจักรวาลวิทยาของคนไท หรือไต ตามความเชื่อเรื่องขวัญนั้น ได้กล่าวถึง “เมืองฟ้า” หรือ “เมืองแถน” ซึ่งเป็นที่พำนักของแถน ไว้แยกขาดจาก “ด้ำดอย” ซึ่งเป็นเมืองผีบรรพชนของคนสามัญ ซึ่งก็ชวนให้คิดไปถึงพัฒนาการลำดับความสำคัญ “เทพเจ้าแห่งพื้นดิน” สมัยราชวงศ์ชาง-ราชวงศ์โจว ในจีน ที่เปลี่ยนจาก “ชางตี้” คือ “ผีบรรพชน” ของราชวงศ์ชาง มาเป็น “เทียน” หรือ “แถน” ที่มีความเป็นสากลกว่ามาก เพราะไม่ผูกมัดอยู่เฉพาะกับสายตระกูลหนึ่งตระกูลใด จนทำให้กษัตริย์และจักรพรรดิในราชวงศ์หลังจากนั้นทั้งหมดของจีน ต่างก็นับถือและกราบไหว้เทียน หรือฟ้า/สวรรค์ เหมือนกันมาโดยตลอด
ลักษณะอย่างนี้ก็ปรากฏให้เห็นในอุษาคเนย์เช่นกัน ดังที่ในข้อเขียนเรื่อง “The Devaraja Cult and Khmer Kingship at Angkor” (ลัทธิเทวราชและโครงข่ายกษัตริย์ขอมที่เมืองพระนคร, ตีพิมพ์เมื่อ พ.ศ.2519) นักประวัติศาสตร์ และปัญญาชนสาธารณะระดับไอคอนของไทยในปัจจุบันอย่างนิธิ เอียวศรีวงศ์ ได้เคยอธิบายถึง “ลัทธิเทวราช” ของขอมโบราณ ซึ่งไม่ใช่แนวคิดที่มีอยู่ในวัฒนธรรมอินเดีย ทั้งที่มีฉากหน้าเป็นเรื่องของศาสนาพราหมณ์-ฮินดู และพุทธศาสนาฝ่ายมหายาน เอาไว้ว่า เป็นอุดมการณ์ร่วมของชนชั้นนำและประชาชน เกี่ยวกับเรื่องความอุดมสมบูรณ์และผีบรรพชน โดยแสดงออกผ่านพิธีศพ
อ.นิธิอธิบายว่า “ผีบรรพชน” คือแหล่งที่มาของ “อำนาจแห่งชีวิต” ที่จะสร้างความอุดมสมบูรณ์และความมั่นคงให้แก่ชุมชนและผู้คนทั้งหลายได้ และผู้ที่จะนำพาและส่งถ่ายอำนาจแห่งชีวิตนั้นออกไปสู่ชุมชน หรือผู้คนอื่นๆ ได้ก็คือ “กษัตริย์” แต่กษัตริย์เมื่อยังมีชีวิตอยู่นั้นยังไม่ได้เป็น “เทวราช” จนกว่าจะเสียชีวิตลง
ดังนั้น พิธีศพตามความเชื่อนี้จึงต้องเป็นสัญลักษณ์ของเขาพระสุเมรุ ซึ่งเป็นศูนย์กลางของจักรวาล ตามความเชื่อของทั้งศาสนาพราหมณ์-ฮินดู และศาสนาพุทธ โดยแสดงออกผ่านทางการสร้าง “ปราสาท” ที่ใช้ประดิษฐานรูปเคารพคือ “ศิวลึงค์” (แน่นอนว่า อาจเป็นรูปพระนารายณ์ หรือพระพุทธเจ้าก็ได้ แล้วแต่ว่ากษัตริย์องค์นั้นจะเลือกนับถือลัทธินิกายใดเป็นสำคัญ) ที่กษัตริย์ผู้ล่วงลับจะกลับเข้าไปรวมเข้ากับเทพเจ้า คืออำนาจแห่งชีวิตที่ช่วยสร้างความมั่นคง และความอุดมสมบูรณ์ให้กับชุมชน หรือราชอาณาจักรนั่นเอง
ถึงแม้ว่าในบทความ อ.นิธิจะใช้ข้อมูลเปรียบเทียบกับหลักฐานจากเกาะบาหลีในประเทศอินโดนีเซียเป็นสำคัญ แต่นั่นก็เกี่ยวข้องกับข้อจำกัดของข้อมูลในช่วงเวลาที่เขียนบทความชิ้นดังกล่าวเมื่อสี่สิบกว่าปีที่แล้ว คติการกลับเข้าไปร่วมกับเทพเจ้า หรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ใดๆ ไม่มีในศาสนา, ความเชื่อ และวัฒนธรรมจากอินเดีย แต่เป็นเรื่องปกติในระบบความเชื่อเรื่อง “ขวัญ” ซึ่งมี “แถน” (หรือ “เทียน”) เป็นตัวแทนแห่ง “อำนาจแห่งชีวิต” ตามสำนวนของ อ.นิธิ
ควรสังเกตด้วยว่า การที่ลัทธิเทวราชของพวกขอมกำหนดให้ “วิญญาณ” (ตามความเชื่อในศาสนาพุทธ และพราหมณ์-ฮินดู จากอินเดีย) เข้าไปสิงสถิตอยู่ในศิวลึงค์, เทวรูป หรือพระพุทธรูปนั้น ก็ไม่ใช่สิ่งที่มีอยู่เดิมในวัฒนธรรมความเชื่อของอินเดียเช่นกัน แต่เป็นสิ่งที่ปรากฏอยู่ทั่วไปในศาสนาผีของอุษาคเนย์
ที่สำคัญคือ ลักษณะเช่นนี้ก็ไม่ต่างไปจาก “หินตั้ง” ที่อยู่ข้างเนินบูชาเทพเจ้าแห่งผืนดิน และบรรพชนในสมัยราชวงศ์ชาง อันเป็นที่สิงสถิตของ “ชางตี้” ซึ่งกษัตริย์ชางจะเข้าไปรวมกับพลังบรรพชนนี้หลังจากเสียชีวิต ก่อนที่จะพัฒนามาเป็น “เทียน” หรือ “แถน” ในสมัยราชวงศ์โจว
เอาเข้าจริงแล้ว ความเชื่อเรื่อง “ขวัญ” และ “แถน” (หรือ “เทียน” ของจีน) นี่เองแหละครับ ที่ควรจะพัฒนามาเป็นลัทธิเทวราช โดยมี “หม้อสามขา” เป็นประจักษ์พยานของการแลกเปลี่ยนสัมพันธ์ของจีน และอุษาคเนย์เมื่อก่อน 3,000 ปีที่แล้ว จนทำให้ลัทธิความเชื่อดังกล่าวพัฒนามาเป็นลัทธิเทวราช ของอุษาคเนย์ในที่สุด