On History : วิ่งคบเพลิงโอลิมปิก กลยุทธ์โฆษณาชวนเชื่อของ ฮิตเลอร์ ?

ศิริพจน์ เหล่ามานะเจริญ
นักกรีฑาชาวเยอรมัน ฟริตซ์ ชิลเกน (Fritz Schilgen) วิ่งคบเพลิงท่ามกลางทหารนาซี ในมหกรรมการแข่งขันกีฬาโอลิมปิก ที่เมืองเบอร์ลิน ประเทศเยอรมนี เมื่อ พ.ศ.2479 หรือที่รู้จักกันในชื่อ Berlin 1936 ซึ่งเป็นการวิ่งคบเพลิงในมหกรรมกีฬาโอลิมปิกครั้งแรก (ที่มาภาพประกอบ : https://www.futurity.org/anti-nazi-games-protested-1936-berlin-olympics/)

 

วิ่งคบเพลิงโอลิมปิกมีที่มาจากพวกนาซี

 

ถึงแม้ว่าสถานการณ์การระบาดของโรคโควิด-19 จะยังไม่สิ้นสุดลง แต่ทางประเทศญี่ปุ่นเขาก็ยืนยันว่าพร้อมแล้วที่จะจัดให้มีการแข่งขันมหกรรมกีฬาที่อ้างตัวเองว่ายิ่งใหญ่ที่สุดของมวลมนุษยชาติอย่าง “โอลิมปิก” ซึ่งต้องเลื่อนมาจากปีที่แล้ว เพราะเหตุการณ์โควิดปิดเมือง

ก็ยืนยันอย่างหนักแน่นขนาดที่จัดให้เริ่มมีการ “วิ่งคบเพลิง” กันแล้วที่ จ.ฟุคุชิมะ ประเทศญี่ปุ่น ตั้งแต่เมื่อวันที่ 25 มีนาคมที่ผ่านมากันเลยทีเดียว

และก็แน่นอนนะครับว่า เมื่อมหกรรมกีฬาอย่างโอลิมปิกนั้น อ้างกันว่าจัดขึ้นตามแบบแผนของกรีกโบราณ (ดังนั้น โอลิมปิกจะเป็นมหกรรมกีฬาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของมวลมนุษยชาติหรือเปล่าไม่รู้ แต่ถ้าจะบอกว่าเป็นมหกรรมกีฬาที่เก่าแก่ที่สุดเท่าที่มีหลักฐานอยู่นั้นไม่ผิดแน่) ก็จึงมักจะอธิบายกันต่อไปด้วยว่า ที่ต้อง “วิ่งคบเพลิง” กันก่อนเปิดการแข่งขันกีฬาอย่างเป็นทางการนั้น เกี่ยวข้องกับเทพปกรณ์ของพวกกรีก

โดยอ้างกัน เจ้าคบเพลิงนี้ก็คือไฟของ “โพรมีธีอุส” (Prometheus)

 

ชาวกรีกเชื่อกันว่า “โพรมีธีอุส” เป็นผู้ขโมยไฟจากสวรรค์ตามปรัมปราคติของชาวกรีก คือบนยอดเขาโอลิมปุส (Olympus) ลงมาให้แก่มวลมหาประชาชนบนโลกมนุษย์

ซึ่งก็ทำให้ราชาแห่งเทพเจ้าทั้งหลายบนสรวงสวรรค์โอลิมปุสคือ “ซุส” (Zeus) กริ้วเป็นอย่างมาก และโทษทัณฑ์ที่โพรมีธีอุสได้รับ ในโทษฐานที่ขโมยไฟลงมาให้กับมนุษย์ ก็คือการถูกมหาเทพซุสล่ามเอาไว้บนภูเขาลูกหนึ่งบนเทือกเขาคอเคซัส โดยจะมีนกอินทรีลงมาจิกกินตับของเขาทุกวัน แต่แล้วพอตกกลางคืนตับของเขาก็จะงอกขึ้นมาใหม่ จึงต้องทนทรมานอย่างนี้อยู่ชั่วกัปชั่วกัลป์

ถึงแม้ว่าพวกกรีกจะพอมีน้ำใจกับผู้มีพระคุณที่นำไฟมาเผื่อแผ่ให้แก่พวกเขาอยู่บ้าง โดยการแต่งปกรณัมตอนต่อไปว่า หลายปีต่อมา “เฮอราเคลส” (Heracles) หรือที่มักจะรู้จักในชื่อโรมันว่าเฮอร์คิวลิส (Hercules) ได้มาปลดปล่อยโพรมีธีอุสจากพันธนาการนั้น

แต่เอาเข้าจริงแล้ว ในยุคสมัยของพวกกรีกโบราณนั้น ปรัมปราคติเกี่ยวกับไฟของโพรมีธีอุสนี้ก็ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกเลยเสียหน่อย

 

เรื่องการขโมยไฟของโพรมีธีอุสนี้ปรากฏครั้งแรกในงานของ “เฮสิออด” (Hesiod) ยอดกวีชาวกรีกซึ่งมีชีวิตอยู่เมื่อราว 2,750-2,650 ปีที่แล้ว แต่การแข่งขันโอลิมปิกนั้นมีมาก่อนหน้านั้นแล้ว

ที่สำคัญคือ ในการแข่งขันกีฬาโอลิมปิก เขาแข่งกันที่วิหารแห่งเทพีเฮรา (Hera) เมืองโบราณโอลิมเปีย (ที่มีวิหารของเทพีเฮราเป็นศาสนสถานสำคัญ และเก่าแก่ที่สุดในเมืองโบราณแห่งนั้น) ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับโพรมีธีอุส และคบไฟที่ขโมยมาเลย

ข้อมูลในบันทึกโบราณเรื่อง “บทบันทึกว่าด้วยกรีซ” (Description of Greece) ของ “เปาซาริอาส” (Pausanias) นักเดินทางและนักภูมิศาสตร์ชาวกรีกที่มีชีวิตอยู่เมื่อราว พ.ศ.653-723 ช่วยให้เราทราบว่า แต่แรกเริ่มนั้น “โอลิมปิก” เป็นธรรมเนียมโบราณของพวกกรีก ที่ให้พวกเด็กสาววิ่งแข่งตัดสินกันว่า ใครจะได้เป็นนักบวชหญิงแห่งองค์เทพีเฮรา เจ้าของวิหารที่เป็นศูนย์กลางการแข่งขันนั่นแหละ

โดยการแข่งขันนี้จะมีขึ้นในทุกเดือนแห่งสาวบริสุทธิ์ (Parthenios) จึงสันนิษฐานว่าน่าจะจัดขึ้นเป็นประจำทุกๆ ปี

 

ตามความเชื่ออย่างเก่าของพวกกรีกบางกลุ่ม “เฮรา” เป็นเทพีแห่งดวงจันทร์มาก่อน

ภายหลังพวกกรีกที่นับเมืองเอเธนส์เป็นศูนย์กลางทางวัฒนธรรม จึงค่อยเปลี่ยนเป็นนับถือว่า “อาร์เทมิส” (Artemis) เป็นเทพีแห่งดวงจันทร์แทน และต่อมาเมื่อความเชื่อเรื่อง “ศักติ” (consort คือคู่ครองของเทพเจ้า) เทพีเฮราได้กลายเป็นชายาของมหาเทพซุส จึงได้มีการแข่งขันวิ่งรอบที่สองโดยพวกเด็กหนุ่ม เพื่อที่จะหาผู้เหมาะสมที่จะเป็นสามีของนักบวชหญิงแห่งเทพีเฮรา เปรียบเสมือนพระอาทิตย์ที่คู่อยู่กับพระจันทร์

ภายหลังก็มีการขยับให้จัดแข่งโอลิมปิกทุก 4 ปี โดยได้แยกการวิ่งแข่งของพวกเด็กสาวที่มีมาแต่เดิมออกไปเป็นพิธีกรรมต่างหาก เทพปกรณัมกรีกช่วยให้ทราบว่านอกเหนือจากการวิ่งแข่งแล้ว ยังมีการเพิ่มเติมกีฬาประเภทอื่นๆ เข้ามาด้วย เช่น การแข่งขันมวยปล้ำ ขว้างจักร เป็นต้น

ที่สำคัญก็คือ ในงานเขียนฉบับดังกล่าวของเปาซานิอาส ที่อุทิศบรรพหนึ่งในหนังสือเล่มนี้ว่าด้วยเรื่องของโอลิมปิก แต่ไม่ได้กล่าวถึงคบเพลิงของโพรมีธีอุสเลยสักนิด

นี่จึงยิ่งแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่า “ไฟของโพรมีธีอุส” นั้นไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับ “การวิ่งคบเพลิง” ในมหกรรมกีฬาโอลิมปิกเลย และถ้าในการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกเมื่อครั้งโน้นจะมีการจุดคบเพลิงอยู่จริง ก็ต้องเป็นการจุดเพื่อถวายเทพีเฮรา ไม่ได้เกี่ยวอะไรกันเลยกับการแข่งขัน

 

อันที่จริงแล้วภายหลังจากที่มหกรรมกีฬาโอลิมปิกสมัยใหม่ได้ถือกำเนิดแบบรีบอร์นขึ้นมาบนโลกอีกครั้งที่กรุงเอเธนส์ ประเทศกรีซ เมื่อ พ.ศ.2439 ก็ยังไม่ได้เริ่มมีการจุดคบไฟอันใดเลยด้วย

การจุดคบไฟเพิ่งมีเป็นครั้งแรกที่หอมาราธอนทาวเวอร์ (Marathon Tower) สนามกีฬาโอลิมปิก ในการแข่งขันโอลิมปิกที่เมืองอัมสเตอร์ดัม ประเทศเนเธอร์แลนด์ เมื่อปี พ.ศ.2471 คืออีก 32 ปีหลังจากการกลับมาจัดการแข่งขันโอลิมปิกยุคใหม่เท่านั้น

แปดปีต่อมา ตรงกับ พ.ศ.2479 ในการแข่งขันโอลิมปิกสากล ที่มีเมืองเบอร์ลิน ประเทศเยอรมนีเป็นเจ้าภาพ จึงค่อยจัดให้มีการ “วิ่งคบเพลิง” ขึ้นมาเป็นครั้งแรก

และด้วยโทษฐานที่ ณ ขณะจิตนั้น เยอรมนีมีท่านผู้นำที่ชื่อว่าอดอล์ฟ ฮิตเลอร์ จึงทำให้มีการตีความกันว่า การวิ่งคบเพลิงนั้นเป็นกลยุทธ์ในการโฆษณาชวนเชื่ออีกบทหนึ่งของท่านผู้นำคนนี้ เพื่อเชื่อมโยงปรัมปราคติของพวกกรีกเข้ากับตนเอง ซึ่งอ้างว่าเป็นชนชาติ “อารยัน” บริสุทธิ์ ที่มีชาวกรีกโบราณเป็นรากเหง้าที่สำคัญสายหนึ่ง

ที่จริงแล้วการวิ่งคบเพลิงโอลิมปิกสมัยใหม่นั้น จึงไม่ได้เกี่ยวอะไรกับปรัมปราคติเรื่องโพรมีธีอุสนำไฟมาให้กับมนุษย์ของพวกกรีกเลยสักนิด

และก็ไม่ได้เป็นสิ่งที่มีอยู่แต่เดิมในธรรมเนียมการแข่งขันโอลิมปิกของชาวกรีกโบราณด้วยเช่นกัน

ถ้าจะพูดกันให้ถึงที่สุดแล้ว การวิ่งคบเพลิงเป็นของที่เพิ่งสร้างใหม่เมื่อไม่ถึงร้อยปีมานี้เอง

แถมยังเป็นสิ่งที่สร้างขึ้นด้วยน้ำมือของเผด็จการทหาร ที่เหี้ยมโหดที่สุดคนหนึ่งเท่าที่โลกเคยรู้จักมา