ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 26 มีนาคม - 1 เมษายน 2564 |
---|---|
คอลัมน์ | On History |
ผู้เขียน | ศิริพจน์ เหล่ามานะเจริญ |
เผยแพร่ |
กระสุนยาง
ประวัติศาสตร์การกลบเกลื่อนความรุนแรง
ในนามของการรักษาความสงบ
กระสุนยาง ถูกประดิษฐ์ขึ้นภายใต้คำอธิบายที่ให้ภาพสวยหรูว่าเป็น “อาวุธที่ไม่มีอันตรายถึงชีวิต” (nonlethal pacification) มาตั้งแต่ครั้งแรกที่มีการนำมาใช้ควบคุมฝูงชนแล้วนะครับ
โดยแต่เดิมกระสุนยางนั้นถูกผลิตขึ้นมาเพื่อใช้ในการเป็นลูกกระสุนสำหรับฝึกหัดยิงปืน และใช้ในการควบคุมสัตว์
ส่วนการประท้วงที่มีการนำกระสุนยางมาใช้เป็นครั้งแรกนั้น เกิดขึ้นโดยคำสั่งของรัฐบาลแห่งสหราชอาณาจักรเพื่อเข้าปราบปรามการชุมนุมอันเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการชาตินิยมหัวรุนแรงที่ไอร์แลนด์เหนือ เมื่อเรือน พ.ศ.2513
แต่ไม่ว่าจะพยายามสร้างภาพให้ดูไม่รุนแรงอย่างไรก็ไม่สามารถปิดบังความจริงที่ว่า การใช้กระสุนยางภายใต้ข้ออ้างของความสงบในครั้งนั้นก็ทำให้มีผู้เสียชีวิตอยู่ดี
และผู้เสียชีวิตคนแรกของการใช้กระสุนยางเพื่อควบคุมฝูงชนในครั้งนั้น ยังเป็นเยาวชนที่มีอายุเพียง 11 ขวบอีกด้วย
เด็กน้อยผู้ตกเป็นเหยื่อของกระสุนยางในครั้งนั้นมีชื่อว่าฟรานซิส รอว์นทรี (Francis Rawntree) ไม่ได้ไปร่วมชุมนุมประท้วงอะไรกับใครเขาหรอกนะครับ เขาแค่กำลังเดินกลับบ้าน และก็ถูกลูกหลงจากหนึ่งในบรรดาห่ากระสุนยางเข้าเท่านั้นเอง
มีรายงานว่า นอกจากเจ้าหนูรอว์นทรีผู้โชคร้ายแล้ว การใช้กระสุนยางเพื่อควบคุมฝูงชนที่ไอร์แลนด์เหนือในครั้งนั้นยังคร่าไปอีก 2 ชีวิต และนี่ยังไม่นับรวมบรรดาผู้คนที่ได้รับบาดเจ็บสาหัสจากกระสุนยางอีกเป็นจำนวนมาก ซึ่งก็ทำให้ทางการของสหราชอาณาจักรต้องกลับมาทบทวนว่า ยังควรใช้กระสุนยางในการควบคุมฝูงชนอีกหรือไม่?
และวิธีแก้ปัญหาที่พวกเขาเลือกใช้ก็คือ การเปลี่ยนจากการใช้ “กระสุนยาง” มาเป็น “กระสุนพลาสติก” แทน
เมื่อแรกที่รัฐบาลของสหราชอาณาจักรเลือกที่จะใช้กระสุนยางเพื่อเข้าควบคุมฝูงชนนั้น พวกเขาได้ประเมินเอาไว้ว่า ถ้าหากไม่ยิงสูงกว่าระดับเอวของมนุษย์ขึ้นมานั้นก็จะไม่ทำให้ผู้คนได้รับบาดเจ็บจนถึงแก่ชีวิต
แต่สภาพความจริงที่เกิดขึ้นก็คือ ในระหว่างการควบคุมฝูงชนนั้น พวกเขามักจะต้องสาดกระสุนใส่ผู้คนในระยะประชิด
และการที่ต้องยิงลูกกระสุนในระดับที่ต่ำกว่าเอวเช่นนี้ ก็มักจะทำให้กระสุนยางแฉลบกับพื้นจนไม่สามารถควบคุมวิถีกระสุนได้ ซึ่งนั่นก็นำมาซึ่งการเซ่นสังเวยชีวิตของผู้คนไป 3 ศพอย่างที่ผมได้บอกไปแล้วนั่นแหละ
พวกเขาจึงได้พัฒนา “กระสุนพลาสติก” ขึ้นมา โดยมีวัตถุประสงค์เช่นเดียวกับกระสุนยางคือ เป็นอาวุธที่ไม่มีอันตรายถึงชีวิต แต่พัฒนาให้สามารถยิงใส่เป้าหมายได้โดยตรง และมีความเสี่ยงที่กระสุนจะแฉลบกับพื้นหรือวัตถุอื่นๆ น้อยกว่ากระสุนยางขึ้นมา
แต่พวกเขากลับลืมคิดไปเสียสนิทเลยว่า (อย่างน้อยพวกเขาก็อ้างอย่างนั้น) การที่กระสุนยังคงมีลักษณะเป็นรูปทรงคล้ายกระบอง (baton) นั้นก็สามารถคร่าชีวิตของผู้คนไปได้อยู่เช่นเดิม กระสุนพลาสติกที่ว่านี้ จึงมีอันตรายไม่ต่างอะไรกับกระสุนยางอยู่นั่นเอง
พยานยืนยันในเรื่องนี้เห็นได้จากจำนวนผู้เสียชีวิตจากทั้งกระสุนพลาสติก และกระสุนยางในการควบคุมฝูงชนในไอร์แลนด์เหนือ จากกรณีขบวนการชาตินิยมหัวรุนแรง ที่ยังคงมีอยู่อย่างสืบเนื่องในช่วงสมัยดังกล่าว ระหว่าง พ.ศ.2518-2532 ที่มีมากถึง 17 ชีวิต
และหลายศพในนั้นก็ยังเป็นเพียงเยาวชน ที่ก็ไม่แน่ว่าจะเป็นเพียงผู้เคราะห์ร้ายเข้ามาโดนลูกหลงเช่นเดียวกับหนูน้อยรอว์นทรีอีกด้วย
แน่นอนว่านี่ยังไม่นับรวมผู้ที่ได้รับบาดเจ็บสาหัสอีกเป็นจำนวนมหาศาล จากจำนวนของทั้งกระสุนยางและกระสุนพลาสติก ที่มีการคำนวณกันว่า ถูกใช้ไประหว่างช่วงเวลาดังกล่าวมากกว่า 120,000 นัดเลยทีเดียว
แต่อันที่จริงแล้ว ประวัติศาสตร์ของความพยายามที่จะ “กลบเกลื่อนความรุนแรง” จากการใช้ “กระสุนปืน” ในนามของการรักษาความสงบนั้นไม่ได้เพิ่งจะมาเริ่มเกิดขึ้นเอาเมื่อครั้งที่เริ่มมีการเข้าปราบปรามการชุมนุมอันเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการชาตินิยมหัวรุนแรงที่ไอร์แลนด์เหนือหรอกนะครับ
โดยถ้านับเฉพาะในประวัติศาสตร์ของสหราชอาณาจักรนั้น อย่างน้อยก็มีมาเกือบสองร้อยปีแล้วโน่นเลย
ในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 19 ตำรวจของสหราชอาณาจักรได้ประดิษฐ์ “กระสุนไม้” ขึ้น โดยที่มีไอเดียคล้ายๆ กระสุนยาง และกระสุนพลาสติกในปัจจุบัน
คือเป็นอาวุธที่ไม่มีอันตรายถึงชีวิต โดยเจ้ากระสุนไม้เหล่านี้ถูกออกแบบมาใช้ยิงแฉลบจากพื้นเพื่อโดนที่อวัยวะส่วนล่างของเป้าหมาย
ไม่มีรายงานว่าเมื่อนำมาใช้ปฏิบัติจริงแล้ว เคยมีใครเสียชีวิตจากกระสุนไม้ที่ว่านี้ เช่นเดียวกับกระสุนยางและกระสุนพลาสติกหรือเปล่า?
แต่ถ้ามีก็ไม่เห็นจะแปลกอะไรเลยสักนิด ยิ่งเมื่อเทคโนโลยีในสมัยโน้นก็ไม่น่าจะควบคุมวิถีกระสุนได้ดีกว่าในช่วงที่มีการควบคุมฝูงชนในยุคนี้
สิ่งที่น่าเศร้ายิ่งไปกว่านั้นก็คือ บรรดากระสุนปืนทั้งหลายเหล่านี้ก็ไม่ใช่ “อาวุธ” เพียงชนิดเดียวที่ถูกนำมาใช้ในการกลบเกลื่อนความรุนแรงในนามของการรักษาความสงบ
“แก๊สน้ำตา” ที่เราเห็นว่าถูกใช้กันบ่อยๆ ในการควบคุมฝูงชนนั้น อันที่จริงแล้วมีรากฐานมาจากกลยุทธ์ในการสงครามในสนามเพลาะ ช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 ซึ่งมันก็อันตรายเสียจนถูก “แบน” คือห้ามใช้ในการสงครามระหว่างประเทศในช่วงนั้น แต่เจ้าแก๊สน้ำตาที่ว่านี่กลับถูกตำรวจนำมาใช้ในการควบคุมฝูงชนและการจลาจลต่างๆ ในช่วงเวลาเดียวกันมันเสียอย่างนั้น
ถึงแม้จะมีคำอ้างว่า แก๊สน้ำตาที่ใช้ในการสลายการชุมนุมทุกวันนี้จะไม่มีสารพิษเจือปน แต่ก็อย่างที่เห็นๆ กันอยู่ว่า ฤทธิ์ของมันก็ทำให้น้ำหูน้ำตาไหล ไอ อาเจียน รวมถึงชวนให้สลบเหมือดเอาง่ายๆ
ขึ้นชื่อว่า “อาวุธ” แล้ว คงจะไม่มีอาวุธอะไรที่ไม่มีอันตรายถึงชีวิตหรอกนะครับ สิ่งที่น่าเศร้าที่สุดก็คือการนำอาวุธเหล่านี้มาใช้โดยอ้างการรักษาความสงบกับผู้คนในประเทศของตนเอง
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อผู้คนเหล่านั้นก็คือเยาวชน คือลูกหลานในชาติ ของคนที่สาดห่ากระสุนเหล่านี้เข้าใส่พวกเขานั่นเอง