เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์ : ดอกไม้เมืองเมย์

ข่าวงบฯ กำจัดผักตบในห้าปีว่าต้องใช้ถึง 2.5 พันล้าน ซึ่งจะกำจัดผักตบได้ 24 ล้านตัน แล้วก็ตกใจ

ขอแนะให้ผู้เกี่ยวข้องไปดูงานการใช้ผักตบแปรรูปเป็น “ดินเทียม” กลายเป็นแปลงผักลอยน้ำปลูกได้สารพัด โดยเฉพาะพืชผักที่เป็นเถาไม้เลื้อย เช่น มะเชือเทศ ถั่ว บวบ ฟัก แฟง แตง มะระ ฯลฯ

ที่ทะเลสาบอินเลในพม่า รัฐฉานใกล้ไทยแค่นี้เอง

พืชผักเหล่านี้อุดมสมบูรณ์สามารถส่งเลี้ยงปากท้องไปทั่วประเทศและทั่วโลก

แหล่งน้ำบ้านเราอันมีอยู่มากมายทั่วทุกภาคสามารถเป็นแหล่งผลิตด้วยวิธีเดียวกันกับชาวเมืองน้ำในถิ่นอินเลได้จริง

จะทำอย่างไรก็สุดแท้เถิด ขอเพียงอย่าเป็นการผูกขาด เช่น เกษตรพันธสัญญาอย่างที่ทำๆ กันอยู่เท่านั้น

คณะ “เขียนแผ่นดิน” เราได้ไปเห็นมา เขาผูกแปลงผักเป็นแพยาวค้ำถ่อลากมาเพิ่มแปลงที่มีอยู่แล้วน่าดูนัก เรือคณะเราต้องคอยหลีกลัดเลี้ยวเลาะไปรอบๆ สวนหรือแปลงผักลอยน้ำเหล่านี้ พลอยให้อัศจรรย์กับวิถีชีวิตของชุมชนชาวน้ำย่านนี้ ที่รู้คิดประดิษฐ์สร้างสิ่งแวดล้อมรอบตัวให้เป็นประโยชน์ ชนิด “ครบวงจร” ได้เอง และได้ดีจริงด้วย

ฝากท่านผู้ดูแลบ้านเมืองบ้านเราด้วยละกันว่ายังมีสิ่งง่ายๆ งดงามอีกมากนักในหมู่เพื่อนประชาคมอาเซียนด้วยกันที่สมควรจะแลกเปลี่ยนเรียนรู้เพื่อดูแลโลกนี้และชีวิต

ว่าทำอย่างไรเราจึงจะอยู่ร่วมกับสิ่งแวดล้อมอย่างเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันได้ โดยต่างไม่ทำลายซึ่งกันและกัน

นี่น่าจะเป็นแนวโน้มสำคัญของโลกวันนี้

 

จากอินเล คณะ “เขียนแผ่นดิน” เรานั่งรถข้ามวันมุ่งสู่เมืองปิ่น อู หวิ่น หรือ ปิ่น อู หลิ่น อย่างที่เคยเกริ่นไว้ว่า ภาษาพม่านั้นเขามีตัวควบกล้ำไม่เฉพาะตัว “ร. ล.” อย่างเรา เขามีตัว “ย. ว.” ด้วย อย่าง ปิ่น อู หวิ่น นี้ ที่จริงมีตัว ย. ว. ควบกล้ำอยู่

คำ ปิ่น มี ย. ควบ คือ ปยิ่น ออกเสียงเป็นปะหยิ่น กับหวิ่น หรือหลิ่น มี ว.ควบ คือลวิ่น ออกเสียงเป็น ละหวิ่น

เลยอ่านออกเสียงแบบไทยเป็น ปิ่น อู หวิ่น หรือ ปิ่น อู หลิ่น สุดแท้แต่สะดวกลิ้นละกัน

ที่ว่าต้องนั่งรถข้ามวันนั้น คือ ข้ามภูเขาคดเคี้ยวผ่านเมืองใหญ่น้อยตามที่ลาดลุ่มไหล่เขาล้วนเมืองที่มีทำเลดีคืออากาศดี มีแหล่งน้ำอุดมสมบูรณ์เหมาะจะเป็นแหล่งทำมาหากินและที่พักตากอากาศ

ชาวอังกฤษที่ครอบครองพม่าอยู่ระยะหนึ่งนี่แหละที่ล้วนมาสร้างเมืองเหล่านี้ให้เป็นเมืองตากอากาศสำคัญ

เมือง ปิ่น อู หลิ่น ก็เช่นกัน เป็นเมืองที่ลาดไหล่เขา มีบ้านโบราณแบบอังกฤษก่ออิฐแดงคร่ำ มีปล่องไฟเหนือหลังคาแบบปราสาทนางฟ้าในเทพนิยาย ที่หลายหลังดัดแปลงเป็นที่พักแรม และเป็นที่เที่ยวชม กลายเป็นธุรกิจท่องเที่ยวขึ้นมาอย่างคึกคัก

อีกชื่อหนึ่งของเมืองนี้คือ เมืองเมย์ ว่าเป็นชื่อของนายทหารอังกฤษผู้พิชิตเมืองนี้ ว่าเป็นนายทหารชื่อ เหม่เมียว (ออกเสียงพม่า) ครั้นพม่าเป็นอิสระจึงกลับมาใช้ชื่อเดิมคือ ปิ่น อู หลิ่น

ร่องรอยของความเป็นอังกฤษมีอยู่ทั่วไป ที่เด่นสุดคือมีสวนพฤกษศาสตร์เป็นดังอุทยานดอกไม้หลากสีสันเป็นระเบียบเรียบร้อย เช่นสวนอังกฤษและยุโรปทั่วไป มีบึงน้ำใหญ่ และมีหงส์หรือห่านเทศคอยาวสีขาวและดำ ลอยเริงวารีอยู่เป็นคู่ ชวนให้ทอดทัศนา น่าเริงรมย์

วันที่ไปเที่ยวชมเป็นเทศกาลดอกไม้ เขาจัดบริเวณแต่งสวนสีสันตระการตาให้คนเข้าไปเดินเล่นถ่ายรูปดูคึกคักดี

เขาเรียกเมืองนี้ว่าเมืองดอกไม้ด้วย ตกลงเมืองนี้จึงมีหลายชื่อคือ ปิ่น อู หลิ่น เมืองเมย์ และเมืองดอกไม้

เสน่ห์อีกอย่างของเมืองนี้คือ มีรถม้าให้โดยสารตลอดเวลา รถม้าโก้หรูอย่างอังกฤษแท้ด้วย คือมีตู้เป็นห้องห้อง มีหน้าต่างนั่งโชว์ และสีสันประดับประดาน่านั่งชมเมือง เข้าทำนอง “ชักม้าชมเมือง” นั้นแล

เมืองนี้ไม่มีห้างสรรพสินค้า แต่มีตลาดใหญ่อยู่กลางเมืองแทน คือแทนห้างใหญ่ได้เลย ดียิ่งกว่าห้างก็คือเป็นตลาดชาวบ้านชาวเมือง ลองนึกถึงตลาดจตุจักรกรุงเทพฯ ประมาณนั้น หรือนึกถึงตลาดสดในทุกจังหวัดบ้านเราก็ได้ แต่ขยายขึ้นเป็นสิบเท่าละกัน

คือเป็นตลาดรวมตลาด ว่างั้นเถิด

มีตั้งแต่ตลาดผ้า ตลาดผัก ตลาดของแห้ง ตลาดสด ตลาดดอกไม้ ฯลฯ สารพัน สารพัดละ รวมทั้งร้านนั่งกินเล่นกินจริง ผู้คนขวักไขว่ไปมาไม่ขาดสายตลอดทั้งวันก็ว่าได้

เหมือนว่าผู้คนไม่รู้จะไปไหนก็มาเดินตลาดนี้ อย่างเดินหน้าสรรพสินค้าบ้านเรานั่นเลย

 

เมืองพม่านี้ดี พระภิกษุสามารถเดินบิณฑบาตรได้ทั้งวัน คือช่วงเช้าบิณฑบาตขอข้าวอย่างบ้านเรา ช่วงหลังจากนั้น คือบ่ายถึงเย็นเดิมบิณฑบาตขอปัจจัยคือทั้งของแห้งและเงิน

มีสามเณรีคือ แม่ชีน้อย ส่วนมากมีตั้งเด็กต่ำกว่าสิบขวบ ถึงวัยรุ่น ถือบาตรเดินเรียงแถวเป็นหมู่ๆ แถวละราวสองสามรูป ถึงเป็นสิบรูป เดินบิณฑบาตอยู่ไม่ขาดสาย แทบทุกถนน

บางทีได้ข้าวสารคนละช้อน บางทีได้เงิน ได้ดอกไม้ พวกเธอจะสวดให้พรเสียงแจ๋วๆ เจื้อยแจ้ว

เป็นภาพและเสียงประดับเมืองให้เราได้รำลึกถึงเจตนารมณ์ของคำว่า “ภิกขุ” แท้นั่นว่า

นี่แหละคือผู้ขอ

รถม้าเมืองเมย์

๐ กุบกับ กุบกับ กุบกับ

ม้าขับล้อเคลื่อนเลื่อนแล่น

รถไม้ รถม้า เมืองแมน

ท่องแดนถิ่นด้าว เมืองเมย์

เชิงวอช่อทิพย์พิมานมาศ

เพียงราชรถองค์ทรงเสน่ห์

ขยับขยัก ยักย้าย ถ่ายเท

สัญจร ร่อนเร เวลา

กงล้อแห่งกาลผันเปลี่ยน

พรหมมา มณเฑียรเหมี่ยนหม่า

สร้างบ้าน แปลงเมือง เป็นมา

แรงม้ามาแปลงแรงยนต์

รถขาว ม้าเคลื่อน เลื่อนแล่น

ส่ำแสนทรัพยา ฝ่าหุน

แรงโลก แรงยักษ์ จักรกล

แต่แรงแห่งคน ยังคง ฯ

รูปเขียน โดย สมภพ บุตราช หนึ่งในคณะ เขียนแผ่นดิน