จรัญ มะลูลีม : เลือกตั้งมาเลเซีย ตอนจบ

จรัญ มะลูลีม

การคอร์รัปชั่นในโครงการ 1MDB และความพยายามอย่างหนักของนาญิบที่จะนำเอาเรื่องนี้ไปซุกไว้ใต้พรมเป็นแรงกระตุ้นให้มหาธีร์ต้องมาออกโรงอีกครั้งหลังจากหยุดงานการเมืองไปนาน และลงสู่การแข่งขันทางการเมืองครั้งใหญ่อีกครั้ง

ทั้งนี้ ในปี 2016 เขาได้ออกมาจากพรรค UMNO อย่างเป็นทางการและตั้งพรรคใหม่ชื่อว่าพรรครวมมาเลย์พื้นเมือง หรือ PPBM ขึ้นมา

การได้รับความช่วยเหลือจากพรรค UMNO และการได้ฐานกำลังมาจากคณะกรรมการเลือกตั้ง

จึงมีการคาดหมายกันว่านาญิบน่าจะมีพลังเพียงพอที่จะเผชิญหน้ากับพรรคฝ่ายค้านที่รวมตัวเข้าด้วยกัน

 

บัดนี้ ท่ามกลางการคาดหมายไปต่างๆ นานา รัฐบาลได้ประกาศให้มีการเลือกตั้งในวันที่ 9 พฤษภาคม ซึ่งทุกพรรคมีเวลาเตรียมการแค่เพียงระยะเวลาสั้นๆ เท่านั้น

กว่าครึ่งหนึ่งของเขตเลือกตั้งที่มีอยู่ 222 เขตแต่ละเขตได้รับการออกแบบมาเพื่อการสนับสนุนพรรคร่วมรัฐบาลทั้งสิ้น

จากรายงานที่มีอยู่ทั่วไป พบว่าพรรคสหชาติหรือพรรครัฐบาลน่าจะได้เสียงสองในสามในสภาด้วยคะแนนโหวตในระดับเดียวกันกับที่เคยได้ในการเลือกตั้งครั้งที่แล้ว อย่างไรก็ตาม จนถึงเวลานี้พรรคฝ่ายค้านก็ยังคงหวังอยู่กับเสียงเงียบที่คาดหมายกันว่าจะพากันออกมาเลือกตั้งอย่างท่วมท้น ทั้งนี้ รัฐธรรมนูญของมาเลเซียได้มีกฤษฎีกาออกมาว่าเขตเลือกตั้งทั้งหมดอย่างน้อยควรจะมีขนาดเท่ากัน

เงินทองและพลังที่ใช้ไปในการหาเสียงทางการเมืองนั้นค่อนข้างจะแลเห็นได้ในมาเลเซีย รัฐบาลมาเลเซียได้ใช้งบประชานิยมมาทำงบประมาณเพื่อนำเอาระเบียบต่างๆ มาใช้ในภาคปฏิบัติในช่วงของการเลือกตั้ง

รวมทั้งเงินเพื่อการสวัสดิการที่มอบให้ประชาชน

ด้วยเหตุนี้ชาวมาเลย์ราวเจ็ดล้านคนจะได้เงินสด 300 ริงกิตในปีนี้ ข้าราชการก็ได้รับเงินเพิ่มขึ้นเช่นกัน

เชื่อกันโดยทั่วไปว่าเงินจำนวนนี้เป็นเงินที่หวังผลเพื่อการเลือกตั้งที่จะมาถึงทั้งสิ้น

 

ผลโพลแสดงให้เห็นว่าประชาชนร้อยละ 36 คิดว่าประเทศมีการปกครองที่ดีแล้ว ในขณะที่ร้อยละ 46 ที่เป็นชาติพันธุ์มาเลย์คิดว่ารัฐบาลที่มีพรรค UMNO เป็นแกนหลักทำงานได้ดีแล้วเช่นกัน

พรรครัฐบาลได้สร้างภาพให้พรรคฝ่ายค้านเป็นพวกต่อต้านมาเลย์ (Anti Malay) และพูดไปไกลจนถึงขั้นที่ว่าพรรคฝ่ายค้านจะทำให้สิทธิพิเศษของชาวมาเลย์ที่พรรค UMNO เป็นหัวหอกอยู่หมดไปจากสิทธิดังกล่าว

ในเวลาเดียวกัน การประชาสัมพันธ์ต่อต้านชนกลุ่มน้อยชาวจีนก็ได้ถูกนำมาใช้โดยพรรครัฐบาล นักธุรกิจชาวจีนที่มีชื่อเสียงก็ถูกกล่าวหาว่าหาทุนให้กับพรรคฝ่ายค้าน

พรรคของชาวจีน (MCA) ซึ่งเป็นพันธมิตรของ UMNO มิได้แสดงปฏิกิริยาใดๆ ในเรื่องนี้และเอาตัวเองออกห่างจากการรณรงค์ดังกล่าว ประเด็นการคอร์รัปชั่นของรัฐบาลดูเหมือนจะกลายเป็นประเด็นรองในการเลือกตั้งในช่วงการเปลี่ยนผ่านนี้

แต่กระนั้นอัตราเงินเฟ้อที่สูงขึ้น ซึ่งเกิดจากการนำเอาภาษีการค้าและการบริการ (GST) มาใช้ ในปีนี้ได้รับความโกรธเคืองจากชาวมาเลเซียโดยทั่วไป

 

มหาธีร์บอกกับผู้สนับสนุนเขาในตอนกลางเดือนมีนาคมปีนี้ (2018) ว่าเขามีความมั่นใจในชัยชนะ หากว่าการเลือกตั้งเป็นเสรีและยุติธรรม และหนทางเดียวที่นาญิบจะชนะได้ก็คือ “การโกง” เท่านั้น เขากล่าวต่อไปว่า นายกรัฐมนตรีนาญิบได้ใช้ทฤษฎีสมคบคิดเพื่อปกป้องตัวเขาเองในการลงเลือกตั้งครั้งนี้

มหาธีร์ซึ่งเคยครองอำนาจที่มาจากการเลือกตั้งยาวนานถึง 22 ปี มีทัศนะ ว่าร้อยละ 10 ของผู้ลงคะแนนเสียงจากชนบทจะเทคะแนนให้กับพรรคฝ่ายค้านเพื่อให้ได้เสียงส่วนใหญ่

ที่ผ่านมาเสียงของชาวชนบทโดยทั่วไปส่วนใหญ่จะไปอยู่ที่พรรค UMNO แต่ชาวมาเลเซียจำนวนมากยังคงให้ความเคารพมหาธีร์ในการปฏิรูปที่เขานำเสนอและตัวเขาเองก็ได้กลายเป็นหนึ่งในต้นแบบของผู้นำโลกไปในที่สุด

หากมหาธีร์ได้รับชัยชนะ เขาก็จะได้รับการยกย่องให้เป็นผู้นำที่มีอายุมากที่สุดของโลกที่เข้าสู่อำนาจอีกครั้ง โดยผ่านการเลือกตั้งของประชาชน อย่างไรก็ตาม หากพิจารณาจากบริบทรอบข้างก็อาจกล่าวได้ว่ามหาธีร์กำลังเผชิญอยู่กับงานที่หินที่สุด เท่าที่เขาได้เคยสัมผัสมา

แต่หากว่านาญิบได้รับการเลือกตั้งและกลับมาเป็นนายกฯ อีกครั้ง เขาก็คงไม่ได้หวังมากนักถึงความจำเป็นที่จะให้มีการปฏิรูปทางเศรษฐกิจ

 

โดยภาพใหญ่แล้วการเลือกตั้งในมาเลเซียได้รับการคาดหมายว่าพรรคสหชาติ (BN) ที่มาจากการรวมตัวของหลายชาติพันธุ์และเป็นรัฐบาลมาตลอด 60 ปีน่าจะได้รับชัยชนะเช่นเคย แต่นักวิเคราะห์มีความเชื่อกันโดยทั่วไปว่านาญิบกับพรรคร่วมรัฐบาลคงไม่ได้ใช้แนวทางการปฏิรูปของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เพื่อให้มาเลเซียมีสถานะทางรายได้ที่สูงขึ้นแต่อย่างใด

ดังได้กล่าวมาแล้วในวันศุกร์ที่ 6 (เมษายน 2018) ที่ผ่านมานาญิบได้ประกาศยุบสภาเพื่อให้มีการเลือกตั้งในวันที่ 9 พฤษภาคม ทั้งนี้ ประชาชนมาเลเซียร้อยละ 50 จะมีสิทธิลงคะแนนเพื่อเลือกผู้นำของเขาระหว่างนาญิบที่มีชนักติดหลังกับคู่ปรปักษ์ที่มีอายุ 92 ปี ซึ่งลาออกจากพรรค UMNO ในปี 2016

นาญิบคงจะเอาเรื่องเศรษฐกิจที่กระเตื้องขึ้นมากล่าวถึง โดยธนาคารกลางของมาเลเซียคาดหมายถึงการเจริญเติบโตของผลิตภัณฑ์มวลรวมแห่งชาติว่าน่าจะอยู่ที่ร้อยละ 6 ในปีนี้

จากรายงานของรัฐบาลมาเลเซียที่ออกมา พบว่ารายได้ต่อหัวของประชาชนมาเลเซีย ในปี 2017 เป็นรายได้ที่สูงที่สุดตามรายงานของธนาคารโลก

 

นาญิบซึ่งมีอายุ 64 ปี ได้ผ่านพ้นข้อกล่าวหาว่าฉ้อโกงโครงการลงทุนของรัฐ 1MDB ไปเรียบร้อยแล้ว ก่อนหน้านี้มีการคาดหมายกันว่าเงินหนึ่งพันล้านที่มาจากเงิน 3.5 พันล้านเหรียญสหรัฐได้ถูกนำไปใช้อย่างผิดพลาด

โดยเงินจำนวนดังกล่าวได้ถูกผันไปอยู่ในบัญชีของตัวนายกรัฐมนตรีเอง อย่างไรก็ตาม นายกรัฐมนตรีอย่างนาญิบได้ปฏิเสธทุกข้อหา ทั้งนี้ จากการสำรวจพบว่าคนหนุ่มสาวมาเลเซียเพียงร้อยละ 61 เท่านั้น ที่เห็นว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องที่มีความสำคัญสูงสุด

ในการหาเสียงเพื่อการเลือกตั้งที่กำลังจะมาถึงนี้พรรครัฐบาลให้สัญญาว่าจะหางานจำนวนล้านๆ ให้ประชาชนทำ ให้ค่าแรงขั้นต่ำสูงขึ้น พร้อมสโลแกน ทำให้ประเทศของฉันยิ่งใหญ่ด้วย BN (Make my Country Great with BN) หรือ Bersama BN Hebatkan สร้างบ้านเรือนให้มากขึ้นสำหรับทหารและตำรวจ ทำให้ความเป็นอยู่ดีขึ้นตามลำดับ มีความเท่าเทียมกัน ใช้แรงจูงใจด้านภาษีเพื่อให้สตรีเข้าสู่การเป็นแรงงานมากขึ้น มีโครงการดูแลบุตรเพื่อส่งเสริมสตรีที่เป็นแรงงาน

“ผมและผู้ร่วมงานของผมสัญญาว่าจะพัฒนาประเทศนี้จากเปอร์ลิสไปจนถึงซาบาห์” นาญิบกล่าวในงานเลี้ยงอาหารกลางวันในกรุงกัวลาลัมเปอร์ที่มีผู้ร่วมงานถึงสี่หมื่นคน โดยทั้งหมดเป็นผู้สนับสนุนพรรครัฐบาล

เอกสารที่มอบให้ประชาชนในเขตเลือกตั้งต่างๆ มีตั้งแต่เรื่องของการควบคุมสื่อ เขตเลือกตั้งใหม่และกฎหมายต่อต้านการ “สร้างข่าวเท็จ” รัฐบาลสัญญาว่าจะมอบเงิน 1.5 พันล้านริงกิตเพื่อประชาชนในชาติเป็นจำนวน 1.6 ล้านคน

 

ในเวลาเดียวกันพรรคของมหาธีร์ Parti Pribume Bersatu Malaysia (PPBM) ได้ถูกคำสั่งของรัฐบาลห้ามการเคลื่อนไหวชั่วคราว และหยุดทำกิจกรรมทางการเมืองเป็นเวลา 30 วัน

อย่างไรก็ตาม มหาธีร์ได้กล่าวแก่ผู้สื่อข่าวว่า “เท่าที่เราได้รับรู้ พรรคของเราเป็นพรรคที่ทำงาน” ซึ่งเป็นการยืนยันว่าเขาและสมาชิกพรรคการเมืองอื่นๆ อาจเป็นผู้สมัครอิสระถ้าจำเป็น

พรรคฝ่ายค้านสี่พรรค (Pakatan Harapan) ซึ่งเป็นพันธมิตรร่วม นำโดยมหาธีร์มุ่งหวังจะกำชัยชนะด้วยการนำเอาค่าครองชีพที่สูงขึ้นมากล่าวถึง รวมทั้งการนำเอาภาษีใหม่มาใช้ นอกจากนี้พรรค Pakatan Harapan ยังสัญญาด้วยว่าจะไม่ให้นายกรัฐมนตรีอยู่ในตำแหน่งติดต่อกันสองเทอม

ท่ามกลางการปรากฏตัวของมหาธีร์ นาญิบยังคงหวังชัยชนะในการเลือกตั้งนับตั้งแต่เขาได้เข้าสู่อำนาจในปี 2009

ในปี 2013 พรรคร่วมรัฐบาลภายใต้การนำของเขายังคงรักษาอำนาจเอาไว้ได้ แม้ว่าจะสูญเสียความนิยมเป็นครั้งแรกนับจากปี 1969 ผลการสำรวจในเดือนธันวาคม (2018) แสดงให้เห็นว่าแม้พรรครัฐบาลยังคงเป็นสมาชิกส่วนใหญ่ของรัฐสภาก็จริงแต่ความนิยมได้ลดลงไป โดยนาญิบได้กล่าวโจมตีการรณรงค์ทางการเมืองของฝ่ายค้านว่าจะนำไปสู่การพังทลาย เพราะจะทำให้หนี้ของรัฐบาลเพิ่มขึ้นเป็นเงาตามตัว

กระนั้นนักวิเคราะห์ก็ให้ข้อแนะนำว่า การขยายเวลาการปกครองออกไปจะไม่ช่วยในเรื่องการปฏิรูปเศรษฐกิจ แม้ว่าผู้ลงทุนจะได้ผลประโยชน์จากความมั่นคงก็ตาม

 

จากรายงานเมื่อวันที่ 6 เมษายน ของหน่วยงาน Capital Economic พบว่าการอยู่ในอำนาจต่อไปของรัฐบาลปัจจุบันจะนำเอาความไม่แน่นอนมาให้กับผู้ลงทุนและลูกค้า

บรรยากาศของความไม่แน่นอนทางการเมืองทำให้ประเทศมาเลเซียมีความเสี่ยงต่อการพัฒนาความเจริญเติบโต

โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากฝ่ายค้านชนะจะส่งผลกระทบต่อนักลงทุนขนาดใหญ่จำนวนหนึ่งที่มาจากประเทศจีน รวมไปถึงการยกระดับท่าเรือบางแห่ง รวมทั้งชายฝั่งตะวันออกซึ่งคาดหวังให้เป็นตัวผลักดันสำคัญๆ ในอีกสองปีข้างหน้า

อนาคตของโครงการเหล่านี้จะตกอยู่ในความเสี่ยงหากฝ่ายค้านชนะการเลือกตั้ง