วิถีแห่งอำนาจ เอี้ยก่วย/ เสถียร จันทิมาธร/ชาวยุทธ์เจ้าอินทรี (137)

เสถียร จันทิมาธร

วิถีแห่งอำนาจ เอี้ยก่วย
เสถียร จันทิมาธร

ชาวยุทธ์เจ้าอินทรี (137)

แล้วกิตติศัพท์ของ “ชาวยุทธ์เจ้าอินทรี” ก็แพร่เข้าไปยังเมืองลิ่มอัน แคว้นกังหนำ กระทั่งเข้าไปถึงหูของสตรีรุ่นเยาว์หนึ่งซึ่งอยู่ในจุดของ “คนผ่านทาง”
จากคำบอกเล่าของชายฉกรรจ์แซ่ซ่ง
เมื่อ 5 ปีก่อนเราอยู่เมืองจี่น้ำ มณฑลชานตุง เพราะช่วงชิงความยุติธรรมสังหารอันธพาลไปคนหนึ่ง เมื่อฆ่าคนต้องชดใช้ชีวิต เราถูกตัดสินประหาร มิคาดผ่านไปหลายวันนายอำเภอสอบสวนผู้มีอิทธิพลที่ก่อกรรมทำเข็ญผู้หนึ่ง
ยังเบิกตัวเราขึ้นศาลลงฟาดโบยระบุว่าพฤติการณ์ฆ่าคนชิงทรัพย์ จับคนเรียกค่าไถ่ ฉุดคร่าสตรีดีงาม คุ้มครองบ่อน คุ้มครองซ่อง ล้วนเป็นการกระทำของเรา ปล่อยตัวผู้มีอิทธิพลนั้นไป
ภายหลังผู้คุมคุกบอกต่อเราว่า ที่แท้ผู้มีอิทธิพลให้เงินแก่นายอำเภอ 1,000 ตำลึง นายอำเภอจึงสุมความผิดเข้าใส่เราจนหมดสิ้น ความผิดฐานฆ่าคนตาย 1 รายต้องถูกตัดศีรษะ ความผิด 10 รายยังคงตัดศีรษะ
เราพอทราบความจริงบังเกิดความแค้นแน่นอกร่ำร้องตะโกนภายในคุก
ผ่านไปหลายวันนายอำเภอเปิดศาลสอบสวนใหม่ผู้มีอิทธิพลถูกจับตัวมาคุกเข่าเคียงคู่กับเราอีก ดังนั้น เราด่าทอเป็นการใหญ่
“ขุนนางโฉดท่านกินสินบาทคาดสินบน ยัดเยียดข้อหากระทำผิดภายหน้าต้องไม่ตายดี”

นายอำเภอกล่าวอย่างยิ้มแย้ม “ซ่งโหงว เจ้ามิต้องมีโทสะรุนแรงถึงเพียงนี้ เราสืบสาวกระจ่างชัดว่าเจ้าถูกปรักปรำ อันธพาลนั้นไม่ได้ถูกเจ้าฆ่าตาย หากแต่เป็นการกระทำของผู้ต้องหารายนี้”
กล่าวพลางชี้มือไปยังผู้มีอิทธิพลนั้นสั่งเจ้าหน้าที่ฟาดโบยอย่างหนักหน่วง
ใช้ไม้หนีบนิ้วลงทัณฑ์ บังคับผู้มีอิทธิพลนั้นรับสารภาพว่าเป็นคนฆ่าอันธพาล จากนั้นปล่อยตัวเราเป็นอิสระ
คราครั้งนี้สร้างความมึนงงนัก อันธพาลถูกเราฆ่าทิ้งชัดๆ ไฉนจดไว้ที่บัญชีผู้อื่น
เราพอกลับถึงบ้านค่อยเล่า ที่แท้หลังจากที่เราถูกตัดสินประหารชีวิต มารดาร่ำไห้คร่ำครวญอยู่กลางถนนทุกวัน วันนี้ประจวบกับ “ชาวยุทธ์เจ้าอินทรี” ผ่านมาสอบถามต้นสายปลายเหตุ สืบเสาะเพิ่มเติมจวบจนเข้าใจเบื้องหลังทั้งหมด
“ชาวยุทธ์เจ้าอินทรี” บอกว่า “เขาถูกเรื่องราวผูกมัดตัว ไม่มีเวลาไปคิดบัญชีแก่นายอำเภอนั้นจึงมอบเงินให้แก่มารดาเรา 2,000 ตำลึงซื้อตัวเราออกมา”
ผ่านไป 3 เดือนทั่วทั้งอำเภอโจษจันว่า นายอำเภอนั้นโกรธกริ้วเป็นการใหญ่
ที่แท้มีอยู่คืนหนึ่งถูกขโมยเงินไป 4,000 ตำลึง เราทราบว่าต้องเป็นฝีมือ “ชาวยุทธ์เจ้าอินทรี” ไม่กล้าพักอาศัยอยู่ในถิ่นฐานเดิมอีก จึงอพยพมายังเมืองลิ่มอัน 1 ปีให้หลังได้ยินผู้คนบอกว่า ที่ชายฝั่งทะเลมีคุณชายแขนขาดผู้หนึ่ง นำนกยักษ์ประหลาดตัวหนึ่งร่วมทาง
เหม่อมองน้ำทะเลหนุนสูงติดต่อกันหลายวัน

ยังไม่ทันที่สตรีรุ่นเยาว์จะได้รับฟังเรื่องราวของ “ชาวยุทธ์เจ้าอินทรี” ต่อเนื่องไป พลันก็มีเสียงสอดด้วยความเข้มจากสตรีงามอีกคนที่มาด้วย
“ท่านขอบคุณอันใด” สตรีงามตั้งคำถาม
“เขาจ่ายออก 2,000 ตำลึง รับเข้า 4,000 ตำลึง ยังได้กำไร 2,000 ตำลึง ผู้แซ่เอี้ยนี้ไหนเลยยินยอมกระทำเรื่องที่ขาดทุน”
หญิงสาวอีกคนทวนคำ “ผู้แซ่เอี้ย ชาวยุทธ์เจ้าอินทรีแซ่เอี้ยหรือ”
“ข้าพเจ้าไม่ทราบ ข้าพเจ้าไม่ได้บอกว่าเขาแซ่เอี้ย”
“ข้าพเจ้าได้ยินท่านบอกชัดๆ”
“เจ้าคงฟังผิดแล้ว”
“ตกลง ข้าพเจ้าไม่โต้เถียงกับท่าน ต่อให้ชาวยุทธ์เจ้าอินทรีได้กำไร 2,000 ตำลึงก็ต้องใช้จุนเจือคนยากไร้ แก้ไขความเดือดร้อน เขาเป็นจอมยุทธ์ที่มีใจกว้างขวาง หรือยังจะละโมบทรัพย์สินเงินทองด้วย”
ทุกผู้คนพากันโห่ร้องชมเชย “โกวเนี้ยกล่าวถูกต้อง”

สตรี 2 นางนี้มาจากเกาะดอกท้อ เป็นพี่น้องกัน คนหนึ่งย่อมเป็นก๊วยเซียง คนหนึ่งย่อมเป็นก๊วยพู้ ทั้ง 2 เป็นธิดาของก๊วยเจ๋ง อึ้งย้ง
แม้ไม่แจ่มชัดว่า “ชาวยุทธ์เจ้าอินทรี” เป็นใคร
กล่าวสำหรับก๊วยพู้แจ่มชัดยิ่งว่าต้องเป็น “เอี้ยก่วย” อย่างแน่นอน จากที่มีแขนเดียวและชมชอบเหม่อมองออกไปในมหาสาครใหญ่
แต่ก๊วยเซียงมีความโน้มเอียงที่จะชมชอบ