ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 27 เมษายน - 3 พฤษภาคม 2561 |
---|---|
คอลัมน์ | การเมืองวัฒนธรรม |
ผู้เขียน | เกษียร เตชะพีระ |
เผยแพร่ |
อ่านสี่ทศวรรษสัมพันธ์ไทย-จีน (5) : ยุค 2 ค.ศ.1990-2000
เรื่องหลักในความสัมพันธ์ไทย-จีนยุค 2 ช่วงปลาย (ค.ศ.1997-2000) ย่อมหนีไม่พ้นวิกฤตต้มยำกุ้งที่ปะทุขึ้นในเมืองไทยแล้วแผ่ขยายไปเป็นวิกฤตเศรษฐกิจเอเชียตะวันออก และบทบาทของสหรัฐและจีนต่อไทยในเหตุการณ์นี้
สหรัฐกลับมาไทย (หลังถอนตัวไปหลังแพ้สงครามเวียดนาม) ช่วงวิกฤตต้มยำกุ้งในฐานะมหาอำนาจนำโลกาภิวัตน์
วิทยานิพนธ์ของคุณเจษฎาพัญเล่าเรื่องวิกฤตต้มยำกุ้งไว้ได้ดีในแง่ผลโดยรวมของมัน (น.179-180, 208-210) แต่ส่วนที่ขาดหายและน่าเสียดายคือดราม่าทางการเมืองของมัน ซึ่งแหลมคม บาดใจ สะท้อนดุลอำนาจที่พลิกเปลี่ยน และท่าทีเหยียดหยามต่อไทยของอเมริกัน-IMF ได้ชัดเจนมาก
วิกฤตเศรษฐกิจ พ.ศ.2540 ในประเทศไทยจุดปะทุให้ค่าเงินบาทตกฮวบ ระบบการเงินพังทลาย เศรษฐกิจหดตัวและถดถอยหนัก ธุรกิจพากันล้มละลายและคนตกงานกว้างขวาง คนจนหน้าใหม่เพิ่มขึ้น ต้องมีการเลหลังขายสินทรัพย์ให้นายทุนต่างชาติโดยเฉพาะกลุ่มทุนการเงินใหญ่อเมริกันใน ราคาถูก จนวิกฤตติดต่อลุกลามไปทั่วภูมิภาคเอเชียตะวันออก ฯลฯ
จีดีพี (ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ) ของไทยหดตัวรุนแรงถึง 10.8% ในปี พ.ศ.2541
บริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยจำนวน 100 แห่งหรือกว่าหนึ่งในสี่ของทั้งหมดถูกเพิกถอนหลักทรัพย์จดทะเบียน โดยที่กึ่งหนึ่งเนื่องจากประสบภาวะล้มละลายหรือกิจการล่มจมไป กลุ่มธุรกิจสุดยอดของไทยก่อนเกิดวิกฤตราวหนึ่งในสี่ (7 ใน 30 กลุ่มธุรกิจสุดยอด และกว่า 50 ใน 220 กลุ่มธุรกิจสุดยอด) มีอันล่มสลายไปหรือไม่ก็หดตัวอย่างหนัก
คนงานตกงานราว 1 ล้านคน และผู้คนราว 3 ล้านคนมีฐานะตกต่ำลงไปอยู่ใต้เส้นยากจน
ถึงแก่เจ้าสัว ชาตรี โสภณพนิช ประธานกรรมการบริหารธนาคารกรุงเทพสมัยนั้น ออกปากปรารภว่า “วิกฤตการณ์ครั้งนี้ทำให้มีเจ้าสัวไทยหายไป 65% และยุคนี้ไม่มีอีกแล้วเจ้าสัว มีแต่เจ้าสัวเยสเตอร์เดย์”
บริษัทธุรกิจหลายพันแห่งล้มพับไปและธนาคารพาณิชย์ก่อนวิกฤตถึง 2 ใน 3 ของทั้งหมดมีอันล้มลงหรือไม่ก็เปลี่ยนมือผู้ถือหุ้นใหญ่และผู้บริหาร
ภาพที่เหมือนเป็นสัญลักษณ์ตัวแทนความตกต่ำของรัฐชาติอำนาจนิยมเพื่อการพัฒนาเศรษฐกิจในเอเชียอาคเนย์เบื้องหน้าอำนาจองค์การโลกาภิบาลตะวันตกย่อมได้แก่ภาพประธานาธิบดีซูฮาร์โตค้อมตัวลงเซ็นข้อตกลงรับเงื่อนไขเงินกู้เพื่อกอบกู้เศรษฐกิจจาก IMF ขณะ มิเชล กัมเดอซูส์ ผู้อำนวยการบริหาร IMF ยืนกอดอกมองดูอยู่เมื่อวันที่ 15 มกราคม ค.ศ.1998
ในทำนองเดียวกัน นายทุนไทยเชื้อสายจีนทั้งหลายพากันโทษว่าเงื่อนไขเงินกู้ช่วยเหลือที่ IMF ยัดเยียดให้ไทยภายใต้การนำของสหรัฐยิ่งซ้ำเติมวิกฤตที่หนักหน่วงอยู่แล้วให้สาหัสสากรรจ์ยิ่งขึ้น
เงื่อนไขดังกล่าวกำหนดให้ไทยเปิดเศรษฐกิจเสรีและโอนกิจการของรัฐไปเป็นของเอกชนเพิ่มขึ้นอีก ให้ดำเนินนโยบายการเงินการคลังแบบหดตัว (รัดเข็มขัดทางการคลังและขึ้นอัตราดอกเบี้ยสูงลิบ) ฯลฯ
เหล่านี้นำไปสู่ภาวะเงินฝืดอย่างหนัก เศรษฐกิจหดตัวรุนแรงเข้าไปอีก ส่งผลให้ธุรกิจของเจ้าสัวทั้งหลายไม่ว่าระดับยักษ์ใหญ่ กลางหรือเล็กต้องปรับตัวรีดเค้นไขมันและเชือดเนื้อเถือหนังทิ้งอย่างเจ็บปวดเพื่อเป็นไปตามตรรกะ “การทำลายอย่างสร้างสรรค์” (creative destruction) ของตลาดทุนนิยมเสรี
กล่าวคือ บีบเค้นล้างผลาญให้ธุรกิจที่ด้อยประสิทธิภาพล้มหายตายจากไปเสีย จะได้เปิดพื้นที่ช่องทางให้ธุรกิจใหม่ที่มีประสิทธิภาพสูงกว่าสร้างตัวขึ้นแทน
ดร.วีรพงษ์ รามางกูร นักเศรษฐศาสตร์และเทคโนแครตชั้นนำ ผู้ถูกรัฐบาลของนายกฯ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ขอให้มาเป็นรองนายกรัฐมนตรีเพื่อช่วยกอบกู้เศรษฐกิจในยามคับขันหน้าสิ่วหน้าขวานสมัยนั้น ได้บันทึกการเผชิญหน้ากับ ดร.สแตนลี่ ฟิชเชอร์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ของ IMF ไว้ด้วยความเศร้าใจว่า :
“เมื่อตอนที่เรากำลังเจรจาทำข้อตกลงเงื่อนไขฉบับแรกกับไอเอ็มเอฟ ผมได้รับแต่งตั้งให้เป็นรองนายกรัฐมนตรี วันหนึ่ง ดร.สแตนลี่ ฟิชเชอร์ บินมาเมืองไทย ขอเชิญผมกับผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยไปรับประทานอาหารเช้ากับเขาที่โรงแรมโอเรียนเต็ล ผมบอกเขาว่าเมื่อเจ้าหน้าที่ที่เจรจาเงื่อนไขทั้งสองฝ่ายทำข้อตกลงแล้ว เราสองคนซึ่งก็เคยเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัยทั้งคู่ เพราะ ดร.ฟิชเชอร์ เคยเป็นอาจารย์สอนวิชาเศรษฐศาสตร์ที่สถาบันเทคโนโลยีแห่งแมสซาชูเซตส์ หรือ MIT เราควรจะมาตรวจดูเหมือนกับการตรวจวิทยานิพนธ์แล้วปรึกษากันว่าเงื่อนไขที่จะใส่ในหนังสือแสดงความจำนงนั้นจะถูกต้องเหมาะสมหรือไม่ ยาที่ใช้จะถูกกับโรคหรือไม่
“เขาตอบผมว่าเขาไม่มีเวลาดูหรอกเพราะเขาไม่มีเวลา เขาต้องดูแลประเทศต่างๆ ทั่วโลก ขอให้เชื่อ นายฮูแบร็ต ไนส์ ผู้อำนวยการฝ่ายเอเชียและแปซิฟิกของไอเอ็มเอฟ เพราะเคยให้ยากับประเทศต่างๆ มาทั่วโลกแล้ว ผมแย้งว่า “ประเทศต่างๆ มีโครงสร้างเศรษฐกิจและวัฒนธรรมทางเศรษฐกิจต่างกัน จะใช้ยาขนานเดียวกันทั่วโลกได้อย่างไร” เขาตอบว่า “ไม่เป็นไร ยาขนานเดียวใช้ได้หมด” ผมเดินออกมาอย่างเศร้าใจกับวิธีทำงานของ ดร.ฟิชเชอร์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ของไอเอ็มเอฟ”
(คอลัมน์ คนเดินตรอก, ประชาชาติธุรกิจ, 12 กรกฎาคม 2547, น.2)
เหล่านี้ทำให้ผู้นำการเมืองและธุรกิจไทยเจ็บช้ำน้ำใจมากเพราะรู้สึกว่าทั้งที่ไทยเคยเป็นพันธมิตรร่วมรบกับสหรัฐต่อต้านคอมมิวนิสต์อินโดจีนและจีนแดงสมัยสงครามเวียดนาม/สงครามเย็นมาด้วยกัน แล้วสหรัฐตัดช่องน้อยแต่พอตัวทิ้งไทยหนีกลับไป
แต่พอไทยตกทุกข์ได้ยากทางเศรษฐกิจตอนนี้ สหรัฐไม่เพียงไม่ช่วย กลับฉวยโอกาสตั้งเงื่อนไขบีบรัดซ้ำเติมผ่าน IMF เพื่อให้ทุนการเงินวอลล์สตรีตเข้ากว้านซื้อสินทรัพย์ของธุรกิจการเงินการธนาคารที่ล้มละลายของไทยไปในราคาถูก
สภาคองเกรสไม่อนุมัติเงินช่วยเหลือไทย แต่กลับไปช่วยเม็กซิโกและปากีสถาน โดยอ้างว่าเม็กซิโกมีชายแดนติดอเมริกัน แต่ไทยไม่อยู่ติดอเมริกา (Benjamin Zawacki, pp. 91-93)
ในที่สุด มันจึงนำไปสู่ปฏิกิริยาชาตินิยมต่อต้านโลกาภิวัตน์ตะวันตก/อเมริกันยั่งยืนยืดเยื้อต่อมา ทำให้ไทยหันไปหาตะวันออกโดยเฉพาะจีนแทน (ผีหรืออาการเข็ดเขี้ยวแค้นค้างจากท่าทีอเมริกัน/IMF ปี ค.ศ.1997 ยังตามไปหลอกหลอนฝ่ายไทยสมัยรัฐบาลทักษิณจนส่งอิทธิพลส่วนหนึ่งให้การเจรจาเขตการค้าเสรี FTA ไทย-สหรัฐ ติดขัดล้มเหลวลง BZ, p.156, 157, 158)
จีนช่วยไทยอย่างน่าประทับใจตอนวิกฤตต้มยำกุ้ง แต่จีนเองก็ได้ประโยชน์ด้วย
ข้อมูลเรื่องท่าทีของจีนที่เป็นมิตรแท้เต็มใจเอื้อเฟื้อช่วยเหลือไทยในยามวิกฤตเศรษฐกิจอย่างฉับพลันทันทีไม่อิดเอื้อนเป็นประเทศแรก (กลับตาลปัตรกับสหรัฐ) ทำให้เป็นที่ประทับใจของผู้นำไทยสมัยนั้นมาก (ทั้งนายกฯ ชวลิตและนายกฯ ชวน) และส่งผลกระทบเก็บคะแนนได้ใจไทยไปเต็มๆ อย่างยืนนาน (ตรงกันทั้งงานของ BZ, pp. 93-94 และวิทยานิพนธ์ของเจษฎาพัญ น.207-208) จุดแตกต่างหรือรายละเอียดที่น่าสนเท่ห์ใจมีดังต่อไปนี้ :
– เงินที่จีนพร้อมช่วยสมทบให้ไทยกู้ผ่าน IMF จำนวน 1,000 ล้านดอลลาร์นั้น เอาเข้าจริง ไม่ได้ใช้จริงๆ แต่อย่างใดเพราะสภาพความจำเป็นเปลี่ยนไป จึงได้แต่สัญญา (“Although the money never materialized beyond a pledge…” BZ, p.93)
– คณะทูตที่นายกฯ ชวลิตส่งไปขอกู้เงินจีนโดยอาศัยสัมพันธ์ใกล้ชิดส่วนตัวของผู้นำสองประเทศ กลับเกิดความขัดแย้งภายในคณะเดินทาง (ขัดแย้งเรื่องอะไร? เพราะเหตุใด? ไม่บอก) จึงเปลี่ยนวงเงินขอกู้จากจีนเหลือ 1,000 ล้านดอลลาร์ ทำให้ไทยต้องไปขอกู้ IMF แทน (เจษฎาพัญ, น.208) เรื่องนี้น่าสนใจมากแต่ขาดรายละเอียดว่าเรื่องราวเป็นอย่างไร เพราะอะไร…?
– การที่จีนประกาศไม่ลดค่าเงินหยวน โดยอ้างว่าเพื่อไม่เอาเปรียบแย่งชิงตลาดสินค้าส่งออกจากไทยในต่างประเทศให้หันไปซื้อสินค้าออกจากจีนแทนในยามไทยลำบาก และเพื่อไม่ซ้ำเติมสถานการณ์ค่าเงินบาท รวมทั้งทางการจีนยังแอบกระตุ้นให้บริษัทไทยเชื้อสายจีนทั้งหลายช่วยลงทุนต่อแม้จะได้รับผลกระทบหนักจากวิกฤต (เจษฎาพัญ, น.207; BZ, p.94) นั้น
อาจตีความในอีกมุมได้ว่าจีนไม่ลดค่าเงินหยวนตอนนั้นก็เพื่อประโยชน์ของตัวเองด้วย เพราะ
1) จะเป็นการไปเพิ่มภาระหนี้สินในสกุลเงินตราต่างประเทศของจีนเอง
2) เป็นจังหวะโอกาสให้จีนเข้าซื้อกิจการและลงทุนในหลายประเทศที่ลดค่าเงินลงรวมทั้งไทยเพราะต้นทุนถูกลงโดยเปรียบเทียบ (เจษฎาพัญ, น.209, 222)
(อนึ่งข้อมูลส่วนอื่นในตอนนี้มาจากงานของผู้เขียนเกี่ยวกับวิกฤตเศรษฐกิจไทย พ.ศ.2540 เรื่อง : “Post-Crisis Economic Impasse and Political Recovery in Thailand : The Resurgence of Economic Nationalism”, Critical Asian Studies, 34 : 3 (September 2002), 323-356. และ “The Sino-Thais” Right Turn towards China”, Critical Asian Studies, 49 : 4 (October 2017), 606-618.)