‘บูรพาพยัคฆ์’ กำแหงฤทธิ์ เมื่อ ‘ประยุทธ์’ พร้อม ‘สัประยุทธ์’ กลยุทธ์ ‘พอแล้ว’ ของ ‘ลุงป้อม’ กลางยุทธการ ‘ดูด-แมว’ ของ ‘บิ๊กตู่’ ส่องอนาคต ‘บิ๊กเจี๊ยบ’

รายงานพิเศษ

บูรพาพยัคฆ์ กำแหงฤทธิ์

เมื่อ ‘ประยุทธ์’ พร้อม ‘สัประยุทธ์’

กลยุทธ์ ‘พอแล้ว’ ของ ‘ลุงป้อม’

กลางยุทธการ ‘ดูด-แมว’ ของ ‘บิ๊กตู่’

ส่องอนาคต ‘บิ๊กเจี๊ยบ’

ในขณะที่บิ๊กตู่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช. ถูกนักการเมืองรุมกระหน่ำ โจมตีในทุกท่วงท่า ทุกคำพูดวาจา ในฐานะคู่แข่งทางการเมือง
หลังแสดงทีท่าชัดเจนที่จะลงสู่สนามการเมือง และความชัดเจนของการตั้งพรรคทหาร หรือพรรค คสช. จึงต้องพร้อมที่จะสู้รบปรบมือ หรือที่ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวเสมอว่า ชื่อประยุทธ์ มาจาก “สัประยุทธ์” ที่ต้องสู้รบ ทั้งตอนเป็นทหาร และมาสู้รบจนทุกวันนี้ ในทางการเมือง
แต่บิ๊กป้อม พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ และ รมว.กลาโหม กลับออกมาประกาศว่า จะไม่ไปร่วมงานทางการเมืองกับ พล.อ.ประยุทธ์ ต่อหลังการเลือกตั้ง โดยเมื่อหมดเทอม หมดหน้าที่ ในรัฐบาล คสช. พล.อ.ประวิตร ก็จะพอแล้ว
“ผมสนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ แต่ไม่ได้บอกว่า ผมจะไปร่วมงานกับท่าน” พล.อ.ประวิตรกล่าว พร้อมให้เหตุผลว่า เพราะผมอายุเยอะแล้ว
นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ทำให้ พล.อ.ประวิตร งดการแสดงความคิดเห็นในเรื่องปฏิบัติการ “ดูด” อดีต ส.ส. เข้าพรรค คสช. มาตลอด
“ก็ผมไม่เกี่ยว ผมไม่ได้รู้การเมือง แล้วผมก็ไม่ได้ทำ” พล.อ.ประวิตรระบุ
“เรื่องของลุงตู่ ไม่ใช่เรื่องของลุงป้อม” พล.อ.ประวิตร ปัดแสดงความเห็นเรื่องความเป็นไปได้ที่ พล.อ.ประยุทธ์ จะตั้งรัฐบาลแห่งชาติ หลังการเลือกตั้ง
ทั้งนี้ พล.อ.ประวิตร ประกาศก่อนหน้านี้แล้วว่า จะไม่เล่นการเมือง แต่ตอนนี้มาทำงานการเมืองเท่านั้น พร้อมยืนยันที่จะเป็นทหาร ไม่เคยคิดที่จะเปลี่ยนไปเป็นนักการเมือง
ในขณะที่ พล.อ.ประยุทธ์ ได้ประกาศชัดเจนว่าเป็นนักการเมืองที่เคยเป็นทหาร

ท่ามกลางการถูกจับตามองว่า การที่ พล.อ.ประวิตร ประกาศออกมาเช่นนี้ เพราะไม่ต้องการถูกจับตามอง หรือตกเป็นเป้าโจมตี ด้วยเพราะที่ผ่านมามีการพาดพิง พล.อ.ประวิตร ในฐานะพี่ใหญ่ คสช. ที่มากบารมีและคอนเน็กชั่น เป็นทั้ง “ผู้จัดการรัฐบาล” และ “มิสเตอร์ดีล” ที่เจรจากับนักการเมืองในการมาร่วมรัฐบาล สนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ เป็นนายกฯ หลังการเลือกตั้ง หรือการมาร่วมกับพรรคทหาร
จนเป็นที่มาของปฏิบัติการ “ดูด” ของ คสช. ที่เห็นผลจากการดึง 2 พี่น้องตระกูล “คุณปลื้ม” แห่งพรรคพลังชล มาช่วยงานรัฐบาล
รวมทั้งการที่นักการเมืองออกมาแฉว่า มีพลังดูดที่รุนแรงของ คสช. ในการจูงใจให้อดีต ส.ส. ย้ายพรรค รวมทั้งบังคับทางอ้อม ต่อรองด้วยเรื่องคดีความ หรือแม้แต่มีทุนมหาศาล 4 หมื่นล้าน
อาจเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจไม่ให้ พล.อ.ประวิตร เป็นเป้า และให้ถูกตัดออกจากวงโคจร
ทั้งๆ ที่ในความเป็นจริงแล้ว สายสัมพันธ์ของ 3 ป. พี่น้องบูรพาพยัคฆ์ ทั้ง พล.อ.ประวิตร กับ พล.อ.ประยุทธ์ และบิ๊กป๊อก พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ไม่มีวันที่ใครคนใดคนหนึ่งจะแยกวงออกไปได้ เพราะร่วมชะตากรรม ผ่านวิกฤตต่างๆ ในชีวิตรับราชการทหาร และวิกฤตการเมืองมาด้วยกันตลอด
เพราะแม้จะไม่ช่วยอยู่เบื้องหน้า ไม่ร่วมรัฐบาล ไม่เข้าพรรคทหาร แต่เชื่อกันว่า พล.อ.ประวิตร ก็จะต้องช่วยน้องตู่อยู่เบื้องหลัง
มูลนิธิป่ารอยต่อ 5 จังหวัดฯ ใน ร.1 รอ. ก็ยังคงเป็นทำเนียบน้อยของรัฐบาล คสช. และเป็นเซฟเฮ้าส์ในการแก้ปัญหาทางการเมืองมาหลายยุค จนถึงรัฐประหาร 22 พฤษภาคม 2557

แต่ในอีกมุมหนึ่ง จะเห็นได้ว่า พล.อ.ประวิตร ถูกกันออกมาจากกระบวนการตั้งพรรค คสช. หรือพรรคทหาร เพราะมี นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกฯ และ นายอุตตม สาวนายน และ นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ เป็นแกนนำ ที่ตั้งกันในทำเนียบรัฐบาล เพื่อสนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ เป็นนายกฯ แต่ไม่มีข่าวว่า พล.อ.ประวิตร เข้าไปเกี่ยวข้อง
จนทำให้มองกันว่า อาจทำให้ พล.อ.ประวิตร น้อยใจที่ถูกกันออกมาจากปฏิบัติการตั้งพรรค จนประกาศที่จะไม่ร่วมงานทางการเมืองกับ พล.อ.ประยุทธ์ อีกเมื่อหมดเทอม คสช.
แต่ก็เชื่อว่า น่าจะเป็นกลยุทธ์ แยกวง แยกตัวออก เพื่อลดกระแส ด้วยเพราะภาพพจน์ของ พล.อ.ประวิตร จากเรื่องนาฬิกาหรู และโครงการจัดซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์ต่างๆ ถูกสะกิดว่า ทำให้ พล.อ.ประยุทธ์ เสียคะแนน เสียแนวร่วมนั่นเอง
แต่ทว่า ก็เป็นที่รู้กันดีว่า นายสมคิดนั้นสนิทสนมใกล้ชิดกับ พล.อ.ประวิตร อย่างมาก จึงยากที่นายสมคิดจะเดินเกมการเมืองคนเดียว โดยไม่ได้อาศัยบารมีและคอนเน็กชั่นของ พล.อ.ประวิตร พล.อ.ประยุทธ์ และ คสช.
แม้แต่บารมีของ พล.อ.ประยุทธ์ ทุกวันนี้ก็เกิดจากการเป็นน้องเล็กในสายบูรพาพยัคฆ์ของ พล.อ.ประวิตร มายาวนานด้วยนั่นเอง

แม้ พล.อ.ประยุทธ์ จะเดินเกมการเมืองโดยลำพัง แต่ พล.อ.ประยุทธ์ กับ พล.อ.ประวิตร ก็ยากที่จะแยกออกจากกัน
นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ว่า พล.อ.ประวิตร จะมีบทบาทอยู่เบื้องหลัง และช่วยเดินเกมอยู่เงียบๆ
ที่สำคัญ เสธ.ชาติ พ.อ.สุชาติ จันทรโชติกุล แกนนำพรรคพลังประชารัฐ และเพื่อนรักเตรียมทหาร 12 ของนายกฯ ก็ยืนยันว่า พรรคพลังประชารัฐ ขับเคลื่อนโดยสมคิด-อุตตม-สนธิรัตน์ จึงเชื่อว่า จะไม่ได้ไปตั้งพรรคใหม่ แต่เป็นแค่ลีลาทางการเมืองในการหยั่งกระแส เพราะในที่สุด ก็จะร่วมกับพรรคพลังประชารัฐ ที่ตั้งเป้าได้ ส.ส. ในสภามากกว่า 120 ที่นั่ง โดยมีทั้งนักการเมืองเดิมจาก 4 พรรคการเมือง และนักการเมืองหน้าใหม่
แถมทั้ง พล.อ.ประยุทธ์ ที่แม้จะบอกว่า การดูด ส.ส. เข้าพรรค เป็นครรลองประชาธิปไตยแบบไทยๆ ที่ทำกันมานาน เพื่อเปิดทางให้การดูดของ คสช.
ถึงขั้นที่ยกคำพูดของ “เติ้งเสี่ยวผิง” ที่ว่า “ไม่ว่าแมวขาวหรือแมวดำ ขอเพียงจับหนูได้ ก็คือแมวที่ดี” มาปรับเปลี่ยนว่า “เราจะต้องทำให้ทั้งแมวขาวและแมวดำของเรา ไม่ทะเลาะกันเอง ไม่กัดกันเอง แล้วเป็นแมวสะอาด ไม่มีเชื้อโรค ไม่อย่างนั้นก็ไปปราบหนูไม่ได้ เพื่อทำบ้านเมืองให้สะอาด”
ที่ถูกตีความว่า พล.อ.ประยุทธ์ ต้องการจะเปรียบนักการเมืองกับแมว ที่มีทั้งแมวขาว แมวดำ ที่เสมือนนักการเมือง ที่ไม่ว่าอยู่พรรคไหน จะดีหรือไม่ดี แต่จะต้องทำให้อยู่ด้วยกันได้ ไม่ทะเลาะกัน และเป็นแมวที่สะอาด ไม่มีเชื้อโรค
เสมือนเป็นการสื่อถึงการดูดนักการเมืองเข้าพรรค คสช. ที่จะเลือกแต่นักการเมืองที่ดี ทั้งนักการเมืองเดิมที่ดีๆ และนักการเมืองหน้าใหม่
จนทำให้นักการเมืองพากันรุมถล่มโจมตี พล.อ.ประยุทธ์ อย่างหนัก เพราะเป็นการส่งสัญญาณเรื่องการดูดที่ชัดเจนขึ้น
ทำให้ พล.อ.ประยุทธ์ ต้องกลับลำออกมาปฏิเสธว่า ไม่ได้ยอมรับในระบบ “ดูด”
โดยเฉพาะเมื่อประกาศว่า ไม่ได้ดูด แต่ “นั่งอยู่เฉยๆ” นักการเมืองก็ติดต่อขอหารือกับพรรคที่หนุนตนเอง ไม่ได้มีการต่อรองหรือให้สัญญาเรื่องโควต้ารัฐมนตรี หรือผลประโยชน์อะไร
อันเป็นการสะท้อนถึงความมั่นใจในความเนื้อหอมของ พล.อ.ประยุทธ์ และพรรคทหาร ที่นักการเมืองเต็มใจให้ดูด หรือไหลเข้ามาเอง ด้วยเพราะมีพลังดึงดูดหลายอย่าง รวมทั้งพลังพิเศษที่ทำให้ พล.อ.ประยุทธ์ ดูน่าเกรงขามมากขึ้น

ไม่ใช่แค่นักการเมืองเท่านั้นที่ พล.อ.ประยุทธ์ ต้องดูดมาร่วมงาน แต่ พล.อ.ประยุทธ์ จะดูดนายทหารในกองทัพมาร่วมงานด้วย
โดยมีน้องๆ ทหารในกองทัพที่พร้อมให้ดูด และพร้อมสนับสนุน ไม่ว่าจะอยู่ในสถานภาพใด และคาดกันว่า จะมีบิ๊กๆ ทหารหลายคนที่จะถูกดึงไปช่วยงาน พล.อ.ประยุทธ์ โดยเฉพาะ ผบ.เหล่าทัพชุดนี้ ที่กำลังจะเกษียณกันยายนนี้
จึงไม่แปลกที่บิ๊กต๊อก พล.อ.ธารไชยยันต์ ศรีสุวรรณ ผบ.ทหารสูงสุด นายทหารม้าลูกป๋า นอกจากประกาศว่ากองทัพสนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ แม้ว่าจะลงสู่สนามการเมืองก็ตามแล้ว
ก็ไม่ได้ปฏิเสธการไปช่วยงาน พล.อ.ประยุทธ์ ด้วยการเปิดประตูไว้ว่า “เป็นเรื่องของอนาคต”
ด้วยเพราะใน ผบ.เหล่าทัพชุดนี้ มีทั้ง บิ๊กเข้ พล.อ.เทพพงศ์ ทิพยจันทร์ ปลัดกลาโหม สายทหารเสือราชินี ที่เกษียณราชการ


โดยเฉพาะบิ๊กเจี๊ยบ พล.อ.เฉลิมชัย สิทธิสาท ผบ.ทบ. สายรบพิเศษ ที่เป็น ผบ.ทบ. มา 2 ปี และทำหน้าที่เลขาธิการ คสช. และ ผบ.กองกำลังรักษาความสงบเรียบร้อยของ คสช. ด้วย ที่คาดว่า พล.อ.ประยุทธ์ คงจะไม่ปล่อยให้เกษียณราชการ
เพราะเมื่อครั้งที่บิ๊กโด่ง พล.อ.อุดมเดช สีตบุตร ผบ.ทบ. และทำหน้าที่เลขาฯ คสช. มาด้วย เกษียณ พล.อ.ประยุทธ์ ก็ให้เป็น คสช. ต่อ และเป็น รมช.กลาโหม ต่อไปด้วย
ทั้งนี้เพราะในช่วงที่ผ่านมา พล.อ.ประยุทธ์ มักมอบหมายงานให้ พล.อ.เฉลิมชัย ทำแทน ทั้งงานบนดินและงานใต้ดิน โดยเฉพาะการให้เป็นตัวแทนลงพื้นที่ไปสั่งการ หรือตรวจสอบเรื่องต่างๆ ให้
แต่ทว่า พล.อ.เฉลิมชัย ได้ออกตัวไว้แล้วว่า ไม่ถนัด และไม่เก่งงานการเมือง เพราะตนเองความรู้น้อย เป็นทหารบ้านนอก มาจากแปดริ้ว ได้มาแค่นี้ก็ถือว่าสูงสุดของชีวิตแล้ว ไม่คิดที่จะเล่นการเมือง หรือเข้าพรรค คสช.

แต่ทว่า แสดงความเชื่อมั่นในตัว พล.อ.ประยุทธ์ กับถนนการเมืองที่เลือกเดิน
“ท่านนายกฯ ท่านเป็นคนเก่ง” พล.อ.เฉลิมชัย ระบุ
แต่คาดกันว่า พล.อ.เฉลิมชัย ซึ่งเป็นนายทหารรบพิเศษ น้องรักของบิ๊กแอ้ด พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ องคมนตรี “ลูกป๋า” อดีตนายกฯ และอดีต ผบ.ทบ. ก็อาจจะเดินตามรอยเท้า “พี่แอ้ด” ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง
ที่เมื่อถึงเวลานั้น พล.อ.เฉลิมชัย ก็คงต้องตัดสินใจเลือกว่าจะไปทางใด จนเกิดเสียงร่ำลือกันว่า พล.อ.เฉลิมชัย แม้จะเกษียณราชการทหาร แต่ทว่า ก็ไม่ได้เกษียณ
แต่ไม่ว่าจะเลือกเดินเส้นทางใด พล.อ.เฉลิมชัย ก็พร้อมที่จะเป็นผู้ช่วยพระเอกเสมอ…แม้ว่าคุณลักษณะ คุณสมบัติ และประสบการณ์การทำงานแล้ว พร้อมที่จะเป็นพระเอกได้ก็ตาม
รอดูกันต่อไป…