เด็กเก็บบอล : ขอบคุณทัพ “ชบาแก้ว” สร้างประวัติศาสตร์ลุยบอลโลกหน 2

นับว่าไม่ผิดหวังจริงๆ กับทัพนักเตะ “ชบาแก้ว” “ทีมฟุตบอลหญิงทีมชาติไทย”

ที่สามารถสร้างประวัติศาสตร์ให้กับวงการลูกหนังไทยอีกครั้ง

เมื่อพวกเธอสามารถคว้าตั๋วเข้าไปเล่น “ฟุตบอลหญิงชิงแชมป์โลก 2019” รอบสุดท้าย ที่ประเทศฝรั่งเศส ได้อีกครั้งเป็นครั้งที่สองแล้ว

หลังจากสามารถผ่านเข้าสู่รอบรองชนะเลิศการแข่งขัน “ฟุตบอลหญิงชิงแชมป์เอเชีย 2018” ที่กรุงอัมมาน ประเทศจอร์แดน

ทีมฟุตบอลหญิงทีมชาติไทยนั้น เข้าร่วมทำศึกชิงแชมป์เอเชีย 2018 ด้วยภาระบนบ่าอันหนักอึ้ง กับความคาดหวังของคนไทยทั้งประเทศที่หวังเห็นทีมชบาแก้วเข้าไปเล่นในฟุตบอลโลกหญิงได้อีกครั้ง

หลังจากที่เมื่อ 4 ปีที่แล้ว เคยสร้างประวัติศาสตร์จบอันดับ 5 ในศึกชิงแชมป์เอเชีย จากการเพลย์ออฟเอาชนะเจ้าภาพในเวลานั้นอย่างเวียดนามไปได้ 2-1

ซึ่งหากเราเปรียบเทียบการเข้าเล่นฟุตบอลโลกรอบสุดท้ายคือการคว้าแชมป์อะไรสักรายการ อย่างที่บอกกันว่าการเป็นแชมป์ว่ายากแล้ว การรักษาแชมป์เอาไว้ยากกว่า

ดังนั้น พวกเธอจึงต้องแบกรับความกดดันอย่างมาก เพียงแต่ครั้งนี้พวกเธอสามารถก้าวเหนือกว่าการแข่งขันในครั้งก่อนได้ ด้วยการทะลุถึงรอบรองชนะเลิศได้เป็นครั้งแรกในรอบ 32 ปี

สำหรับศึกชิงแชมป์เอเชีย 2018 ที่ประเทศจอร์แดนนั้น แข้งสาวทีมชาติไทยต้องโคจรมาอยู่ในกลุ่มเดียวกับเจ้าภาพอย่างจอร์แดน, จีน และ ฟิลิปปินส์ เพื่อนบ้านใกล้เคียง

 

เริ่มต้นเกมแรกอาจจะทำให้ใจคอแฟนบอลไม่ดีนัก เมื่อชบาแก้วถูกสาวจีนถล่มขาดลอยถึง 4-0 แต่พวกเธอก็สามารถพลิกสถานการณ์กลับมาได้ด้วยการถล่มเจ้าภาพถึง 6-1 ทำให้ก่อนเล่นเกมสุดท้ายกับฟิลิปปินส์ ขอเพียงผลเสมอก็จะเข้ารอบรองชนะเลิศ และคว้าโควต้าได้สำเร็จ

ซึ่งทีมฟุตบอลหญิงไทยก็ไม่ทำให้ผิดหวังด้วยการเอาชนะฟิลิปปินส์ถึง 3-1 และคว้าตั๋วฟุตบอลโลกสมัยที่สองมาครองได้สำเร็จ

นอกจากนี้ ทีมชบาแก้วยังได้รับเงินอัดฉีดจาก “มาดามแป้ง” “นวลพรรณ ล่ำซำ” ผู้จัดการทีม ที่ลั่นวาจาไว้ว่าจะให้ ให้ได้อย่างน้อย 20 ล้านบาท

ซึ่งในนั้นมีส่วนของสมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯ แล้ว 5 ล้านบาท

รวมกับที่ “บิ๊กอ๊อด” “พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง” ประมุขลูกหนังไทย ประกาศก่อนเกมว่ายิงฟิลิปปินส์ได้ลูกละ 1 ล้านบาท

เท่ากับว่าตอนนี้แข้งสาวจะได้รับอัดฉีดแล้วอย่างน้อย 23 ล้านบาท

อย่างไรก็ตาม สิ่งที่สำคัญที่สุดนั้นไม่ใช่เรื่องของเงินอัดฉีด แต่เป็นเรื่องของการได้ทำหน้าที่เพื่อประเทศไทย ที่ทุกคนนั้นทุ่มเทอย่างเต็มที่เพื่อคว้าตั๋วประวัติศาสตร์นี้ให้ได้

ทุกคนวิ่งสู้ฟัดตลอดทุกนาทีที่อยู่ในสนาม นับว่าหัวใจของพวกเธอนั้นน่ายกย่องยิ่งนัก

 

หนึ่งในแรงผลักดันสำคัญที่ทำให้ทีมฟุตบอลหญิงทีมชาติไทยมีทุกวันนี้ได้ ส่วนหนึ่งก็ต้องขอบคุณการทำงานของมาดามแป้ง ที่เริ่มเข้ามาทำทีมฟุตบอลหญิงตั้งแต่ปี 2008 ในตำแหน่งผู้จัดการทีม ก่อนที่จะร่วมกับทีมงานช่วยวางแผนพัฒนาทีม เดินหน้าไล่ล่าความสำเร็จ คว้าเหรียญทองซีเกมส์, แชมป์อาเซียน และในศึกชิงแชมป์เอเชียมาอย่างต่อเนื่อง

ซึ่งจากการบ่มเพาะมาเป็นเวลานาน ผลงานของทีมชบาแก้ว ก็มาพีกสุดๆ ในปี 2014 เมื่อพวกเธอสามารถคว้าโควต้าไปลุยศึกฟุตบอลหญิงชิงแชมป์โลก 2015 รอบสุดท้าย ที่ประเทศแคนาดาได้เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์

โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อผ่านเข้าสู่รอบสุดท้าย พวกเธอยังทิ้งผลงานอันยอดเยี่ยมเอาไว้ ด้วยการคว้าชัยชนะนัดแรกในฟุตบอลโลกหญิง รอบสุดท้าย ซึ่งเป็น 3 แต้มประวัติศาสตร์ของวงการฟุตบอลไทยเช่นกัน

ด้วยการเอาชนะไอวอรี่ โคสต์ ทีมจากกาฬทวีปไปได้ 3-2

 

นอกจากนี้ ยังต่อสู้กับทีมชั้นนำของโลก ไม่ว่าจะเป็น “อินทรีเหล็ก” “เยอรมนี” กับ “นอร์เวย์” ได้อย่างสูสี ไม่เกรงกลัวศักดิ์ศรีแต่อย่างใด จนเป็นการจุดประกายและทำให้มีการส่งเสริมการพัฒนาฟุตบอลหญิงมาอย่างต่อเนื่อง

เวลาผ่านล่วงเลยมาจนการคัดเลือกทีมไปฟุตบอลหญิงชิงแชมป์โลก รอบสุดท้ายวนมาอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งครั้งนี้ทัพชบาแก้วก็สามารถสานต่อผลงานด้วยการคว้าตั๋วไปฟุตบอลโลกหญิงได้สำเร็จเป็นครั้งที่สอง พ่วงด้วยผลงานที่ดีกว่าหนก่อน ผ่านเข้าสู่รอบรองชนะเลิศ ซึ่งว่ากันง่ายๆ ทีมฟุตบอลหญิงทีมชาติไทยตอนนี้ก้าวขึ้นเป็นทีมอันดับ 4 ของเอเชียนั่นเอง

สำหรับทัพนักเตะชบาแก้วชุดนี้ เป็นชุดที่เคยผ่านเข้าสู่รอบสุดท้ายฟุตบอลโลกหนก่อนถึง 16 คนด้วยกัน ประกอบด้วย “แนนซี่” “สุนิสา สร้างไธสง” แบ๊กซ้ายกัปตันทีม, “แอน” “ดวงนภา ศรีตะลา”, “เนตร” “กาญจนา สังข์เงิน”, “ทราย” “วราภรณ์ บุญสิงห์”, “หมิว” “ศิลาวรรณ อินต๊ะมี”, “ปิ่น” “พิกุล เขื่อนเพ็ชร”, “แหม่ม” “อรมัย ศรีมะณี”, “น้ำ” “รัตติกาล ทองสมบัติ” และคนอื่นๆ

แถมยังมี 5 นักเตะดาวรุ่งหน้าใหม่ที่เข้ามาเสริมทีมในครั้งนี้ แถมยังมีผลงานอันโดดเด่น ได้แก่ “มิรันด้า” “สุชาวดี นิลธำรงค์” กองหน้าลูกครึ่งไทย-อเมริกัน วัย 21 ปี และแข้งน้องใหม่อย่าง “ณัฐรุจา มุทนาเวช” ผู้รักษาประตู, “กาญจนาพร แสนคุณ” กองหลัง, “เสาวลักษณ์ เพ็งงาม” ศูนย์หน้า

และ “มิ้นท์” กัญญาณัฐ เชษฐบุตร นักเตะอายุน้อยที่สุดในทีม วัยเพียง 18 ปีเท่านั้น

 

จากการผสมผสานระหว่างผู้เล่นที่มีประสบการณ์กว่าครึ่งค่อนทีมที่ผ่านประสบการณ์ในการเล่นมาอย่างโชกชน รวมกับผู้เล่นดาวรุ่งหน้าใหม่ที่มีความสดใหม่ และเติมเต็มความเด็ดขาดในแดนหน้าที่เคยขาดหายไปทำให้ทีมชบาแก้วชุดนี้เป็นรอยต่อของการพัฒนาครั้งสำคัญของวงการฟุตบอลหญิงไทยก็ว่าได้

และแม่ทัพคนสำคัญของทีมชาติชุดนี้ก็คือ “โค้ชหนึ่ง” “หนึ่งฤทัย สระทองเวียน” อดีตนักเตะทีมชาติไทยยุคบุกเบิก ที่มาเป็นหัวหน้าผู้ฝึกสอนตั้งแต่ตอนที่ไปฟุตบอลโลกหนแรก ก่อนที่จะกลับมาทำหน้าที่อีกครั้งหลังจากจบซีเกมส์ ซึ่งทีมชาติไทยไม่ได้เหรียญทองนั้น แต่การทำงานร่วมกับนวลพรรณ ผู้จัดการทีม ทำให้ทั้งคู่กลายเป็นโค้ชกับผู้จัดการทีมที่พาทีมฟุตบอลหญิงไทยไปฟุตบอลโลกได้ 2 สมัยติดต่อกัน

“การทำงานครั้งนี้ถือว่าทำได้ตามเป้าหมาย ตอนแรกก็รู้สึกกดดันเพราะทุกคนตั้งความคาดหวังกับการไปฟุตบอลโลกให้ได้ แต่ก็ทำสำเร็จในที่สุด เพียงแต่ทีมก็ต้องพัฒนาต่อไปให้ก้าวขึ้นไปสู่การเป็นทีมชั้นนำของเอเชียให้ได้” โค้ชหนึ่งกล่าว

ส่วนมาดามแป้งนั้นกล่าวว่า นี่เป็นทัวร์นาเมนต์ที่สำคัญและกดดันมากที่สุดตั้งแต่ทำหน้าที่มาตลอด 10 ปี แต่ก็ดีใจที่พาทีมไปฟุตบอลโลกสมัยที่ 2 ได้สำเร็จ ส่วนแผนการเตรียมทีมนั้นคงต้องหานักเตะหน้าใหม่เข้ามาเสริมผู้เล่นที่เริ่มจะอายุมาก

 

นับจากตอนนี้ก็เหลือเวลาอยู่ประมาณปีเศษๆ เท่านั้น ก็จะถึงฟุตบอลหญิงชิงแชมป์โลก รอบสุดท้าย ที่ประเทศฝรั่งเศส ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ทีมชบาแก้วจะต้องเสริมทีมให้ได้มากที่สุด เพื่อจะสร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ในฟุตบอลโลกอีกสักครั้ง

สุดท้ายนี้คงต้องขอชื่นชมนักเตะ, ทีมงาน และทุกส่วนที่มีความเกี่ยวข้องกับการสร้างประวัติศาสตร์ให้กับวงการฟุตบอลไทยอีกครั้ง

ขอบคุณทุกคนจากใจที่ทำให้แฟนบอลไทยมีความสุขได้อีกครั้ง