ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 20 - 26 เมษายน 2561 |
---|---|
คอลัมน์ | ต่างประเทศ |
เผยแพร่ |
กว่า 7 ปีแล้วที่สงครามกลางเมืองในซีเรียปะทุขึ้นและยังไม่มีทีท่าว่าจะยุติลงได้ง่ายๆ
หนำซ้ำยังทวีความร้อนแรงหนักขึ้น
หลังจากสหรัฐอเมริกา อังกฤษ และฝรั่งเศส จับมือร่วมกันเป็นพลัง 3 ประสานปฏิบัติการโจมตีซีเรีย
โดยมีเป้าหมายทำลายแหล่งผลิต พัฒนาและสะสมอาวุธเคมี ตลอดจนถล่มฐานบัญชาการของกองกำลังรัฐบาลซีเรีย
เพื่อตอบโต้สิ่งที่ชาติพันธมิตรตะวันตกกล่าวหาว่ารัฐบาลบาชาร์ อัล อัสซาด ประธานาธิบดีซีเรีย ใช้อาวุธเคมีโจมตีพลเรือนผู้บริสุทธิ์!
การโจมตีสั่งสอนซีเรียของชาติพันธมิตรตะวันตกเกิดขึ้นในช่วงเช้ามืดของวันเสาร์ที่ 14 เมษายน มีการยิงจรวดโทมาฮอว์กกว่า 100 ลูก ถล่มพื้นที่เป้าหมายในซีเรีย 3 จุดสำคัญทั้งในกรุงดามัสกัส อันเป็นเมืองหลวง และเมืองฮอมส์ พื้นที่ยุทธศาสตร์สำคัญอีกแห่ง
ที่ “เพนตากอน” กระทรวงกลาโหมสหรัฐอ้างว่าปฏิบัติการโจมตีดังกล่าวบรรลุผลตามเป้า โดยถล่มตรงเป้าหมายที่กำหนดไว้อย่างแม่นยำ และปราศจากการเสียเลือดเสียเนื้อ
ทั้งประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐ นางเทเรซา เมย์ นายกรัฐมนตรีหญิงอังกฤษ และประธานาธิบดีเอ็มมานูแอล มาครง ของฝรั่งเศส ต่างอ้างความชอบธรรมในการโจมตีเพื่อกำราบซีเรียครั้งนี้
โดยทั้งหมดต่างอ้างว่ามีข้อมูลหลักฐานที่ทำให้มั่นใจว่ารัฐบาลอัสซาดใช้อาวุธเคมีในการโจมตีเมืองดูมา พื้นที่มั่นสุดท้ายของกลุ่มกบฏต่อต้านรัฐบาลซีเรีย เมื่อวันที่ 7 เมษายนที่ผ่านมา จนเป็นผลให้พลเรือนเสียชีวิตมากกว่า 40 ราย รวมถึงเด็กที่ไม่รู้อีโหน่อีเหน่
ซึ่งการกระทำดังกล่าวเป็นการกระทำที่โหดเหี้ยม ไร้มนุษยธรรมและละเมิดต่อกฎหมายระหว่างประเทศ ที่ไม่อาจปล่อยให้ซีเรียกระทำสิ่งเลวร้ายเช่นนี้ขึ้นได้อีก
เป็นการกล่าวหาที่ซีเรียและรัสเซีย ชาติพันธมิตรที่ให้การหนุนหลังประธานาธิบดีอัสซาด ปฏิเสธเสียงกร้าว
โดยรัฐบาลอัสซาดยังโต้กลับว่าเป็นการสร้างเรื่องของฝ่ายตรงข้ามเพื่อทำให้เข้าใจผิดซีเรีย
จนถึงขณะนี้สหรัฐ อังกฤษและฝรั่งเศส ยังไม่สามารถแสดงหลักฐานที่มีน้ำหนักชัดเจนตามที่กล่าวอ้างให้โลกประจักษ์ได้ ทั้ง 3 ชาติยังเพียงแต่อ้างข้อมูลจากแหล่งข่าวเปิด เช่น รายงานข่าวจากสื่อและข้อมูลจากเจ้าหน้าที่ทางการแพทย์ในพื้นที่ และอีกส่วนหนึ่งเป็นข้อมูลข่าวกรองที่ไม่มีการเปิดเผย
เจมส์ แมททิส รัฐมนตรีกลาโหมสหรัฐ กล่าวในระหว่างแถลงข่าวหลังปฏิบัติการโจมตีซีเรียครั้งล่าสุด แสดงความเชื่อมั่นว่ารัฐบาลอัสซาดได้ใช้สารเคมีอย่างน้อยกว่า 1 ชนิด ในการโจมตีเมืองดูมา ที่น่าจะเป็นก๊าซคลอรีน
ขณะที่เจ้าหน้าที่ระดับสูงของสหรัฐอีกรายบอกว่ายังมีข้อมูลสำคัญที่บ่งชี้ว่าอาจจะมีการใช้ก๊าซซารินที่มีฤทธิ์ทำลายประสาทในการโจมตีเมืองดูมาด้วย
ขณะที่รัฐบาลฝรั่งเศสอ้างข้อมูลข่าวกรองและข้อมูลจากแหล่งข่าวเปิดที่รวมถึงภาพถ่ายและคลิปวิดีโอเหตุการณ์โจมตีในเมืองดูมาที่มีการแผยแพร่บนเว็บไซต์เฉพาะทางและโซเชียลมีเดียต่างๆ แสดงให้เห็นอาการที่ปรากฏกับเหยื่อในพื้นที่ ซึ่งมีลักษณะอาการคล้ายถูกสารพิษ
โดยสภาพศพเหยื่อที่เสียชีวิตอยู่ในสภาพมีน้ำลายฟูมปาก ผิวหนังเปลี่ยนสี และกระจกตาถูกทำลาย
ฝรั่งเศสจึงอ้างว่ามีเหตุผลฟังขึ้นที่จะทำให้เชื่อได้ว่ารัฐบาลซีเรียใช้อาวุธเคมีในการโจมตี
มีการตั้งข้อสังเกตในแวดวงนักวิเคราะห์ว่าเหตุใดกองกำลังพันธมิตรตะวันตกถึงรีบชิงลงมือโจมตีซีเรียก่อน
แทนที่จะรอผลการตรวจสอบขององค์การเพื่อการห้ามใช้อาวุธเคมี (โอพีซีดับเบิลยู) ที่กำลังจะเข้าไปตรวจสอบในพื้นที่ที่มีการกล่าวหาว่ามีการใช้อาวุธเคมีโจมตีในซีเรีย
และยังมีขึ้นหลังจากไม่กี่วันที่ทรัมป์ประกาศความมุ่งหมายที่จะถอนกำลังทหารสหรัฐที่มีอยู่ราว 2,000 นายออกไปจากซีเรีย หลังจากถูกส่งเข้าไปบดขยี้กลุ่มกองกำลังรัฐอิสลาม (ไอเอส) ที่เคลื่อนไหวอยู่ในซีเรีย
จนทำให้เหล่านักวิเคราะห์ถึงกับงุนงงในทิศทางนโยบายของรัฐบาลทรัมป์ที่ดูจะสับสนขัดแย้งกัน
การประกาศท่าทีดังกล่าวดูเหมือนจะเป็นความพยายามของทรัมป์ที่ต้องการจะทำให้สหรัฐสลัดตัวเองให้หลุดพ้นจากวงปัญหาขัดแย้งในตะวันออกกลางที่สหรัฐเข้าไปพัวพันเกี่ยวข้องนับจากเกิดเหตุวินาศกรรมสหรัฐเมื่อ 17 ปีก่อน ที่ทำให้สหรัฐต้องสูญเสียไพร่พลและงบประมาณไปอย่างสูญเปล่าจำนวนมหาศาล เพื่อที่สหรัฐจะได้กลับมาโฟกัสที่ตัวเองตามนโยบายอเมริกามาก่อนของทรัมป์
ทว่า การยื่นมือเข้าไปแทรกแซงปัญหาซีเรียในครั้งนี้ จุดคำถามและความหวั่นกลัวว่าจะกลายเป็นการดึงสหรัฐให้ลากยาวอยู่ในวังวนปัญหานี้ต่อไปได้
แต่ในความเห็นของนักวิเคราะห์บางคนอย่าง เมแกน โอซัลลิแวน มองว่า การตีกรอบจำกัดการโจมตีเป้าหมายโดยใช้เวลาเพียงชั่วคืนเดียวและทำร่วมกับอังกฤษและฝรั่งเศส
ถือเป็นการส่งสารปรามซีเรียให้ได้รับรู้ ขณะเดียวกัน ยังเป็นการหลีกเลี่ยงที่สหรัฐจะเข้าไปเกี่ยวข้องอย่างลึกซึ้งในปัญหานี้และยังลดความเสี่ยงที่จะเป็นการกระตุ้นให้รัสเซียและอิหร่าน ชาติพันธมิตรสำคัญของซีเรีย เข้ามาร่วมงัดข้อตอบโต้กลุ่มพันธมิตรตะวันตกด้วย
ซึ่งหากสถานการณ์ขัดแย้งมีแนวโน้มพัฒนาไปในทางตรงกันข้าม สงครามโลกครั้งที่ 3 ที่ประชาคมโลกหวั่นกลัวกันอยู่ ก็อาจจะปะทุขึ้นได้!