ทวีปที่สาบสูญ : ขวัญของฉัน

เปลวเทียนไหวกะพริบโอนเอน วอมแวมอยู่ในความมืดสลัว เมื่อพ่อบอกว่า “ดับไฟเถอะ” แม่ก็ลุกไปกดสวิตช์ไฟ

ทันทีที่หลอดวิทยาศาสตร์ดับลง แต่ยังคงมีแสงลอดส่องจากไฟกิ่งถนน ผ่านเข้ามาถึงในเติ๋นเรือนไม้ น้องขยับตัวเข้าใกล้แม่ และพ่อก็บอกว่า

“อันที่จริงไม่ต้องดับก็ได้ แต่พ่ออยากให้พี่มีสมาธิ…เอาละ นั่งให้ดีๆ”

แม่มองมาอย่างห่วงใย

“นั่งไหวไหมลูก”

“ไม่เป็นไรแล้ว” ฉันตอบออกไป

“โฟ ขยับมาใกล้ๆ” พ่อบอก

พี่สาวร่วมพ่อรีบกระถดเข้าหา

 

ในแสงเทียน ใบหน้าของพ่อดูแปลกตา แต่ไหนแต่ไรมา ฉันมักรู้สึกเสมอว่า ไม่คุ้นเคยกับชายคนนี้เลย

นี่คือ “หนาน” คนที่ยายให้เกลียดชังนักหนา คนที่ยายพร่ำบอกเสมอว่า เป็นคนพรากแม่มาเสียจากอนาคตอันสว่างไสว

เป็นผู้ชายที่ไม่เอาไหน ดีแต่จะสุขสนุกไปวันๆ สรรหาแต่เรื่องม่วนงันเข้าตัว ยายมักจะพูดอย่างนั้น และสอนฉันจนจำได้ติดหูว่า

“อย่าอยู่ใกล้มัน”

แต่ในตอนนี้ ยายไม่มีตัวตนร่างกายบนโลกนี้อีกแล้ว มีเหลือเพียงฉัน กับชายหญิงที่เป็นผัวเมียกันคู่นั้น…พ่อกับแม่ และเด็กตัวอ้วนกลม กับพี่ๆ ลูกของพ่อ

สำหรับตอนนี้ พี่ตรีไปอยู่ที่อื่น แม่บอกเช่นนั้น และฉันก็ไม่นึกอยากถามว่าที่ไหน

เพียงให้คิดว่า…บัดนี้ หลังจากพยายามดิ้นรนไปไกล ฉันก็กลับมาพบตัวเองอยู่ในสภาพแวดล้อมเก่าๆ ที่คุ้นเคย

ฉันเคยเห็นพ่อทำพิธีเช่นนี้ แต่มีครั้งนี้ ที่คนในพิธีคือตัวฉัน

 

“เอาละ พ่อจะส่งเคราะห์แล้วเรียกขวัญคืนให้สูเจ้าทั้งสอง”

พ่อยังมียิ้มอยู่บนหน้า หากก็มีแววตาที่มั่นคง…จนฉันใจไหว

ที่เบื้องหน้า มีสะตวงอยู่สองห้อง ใส่ข้าวของสารพัน ส้มสูกลูกไม้ อาหารหวานคาวแบ่งเป็นคำน้อยๆ ข้าวเหนียวปั้นก้อน กล้วยน้ำว้าฝานแว่น หมากเหมี้ยงมูลี และที่สะพรั่งในขันสะหลุงคือข้าวตอกดอกไม้ วางใกล้แก้วน้ำมนต์ และพุ่มพานบายศรี

แม่รั้งให้น้องนั่งข้างๆ และผลักของอีกสิ่งให้เข้าไปใกล้สะตวง

มีเสื้อผ้าของฉันกับของพี่โฟ พับเป็นระเบียบเรียบร้อย มีกระจกส่องหน้าและหวีด้วยหนึ่งอัน

“พนมมือไหว้นะ พ่อจะเชิญเทวดาก่อน”

แล้วเสียงกังวานของพ่อก็ดังขึ้น

 

“สุระนันตุโภณโต๋ เตวาราจะอินโต จะพรหมโลกัปป๋าธรณี จะกุตต๋าศิริมานัญจะภิทานามาต๋า ปิต๋า บุปผากาละเทวี โมทันตุ ปุญญัง ปะวะรัง…”

คำออกปากพ่อดุจดั่งสายน้ำไหล ไม่น่าเชื่อเลยว่า แม้จะเนิ่นนานไป ถ้อยคำที่ร่ายกล่าวออกมา ก็ยังไม่ขาดตอนโดยง่าย จากบทหนึ่งไปสู่บทหนึ่ง จนถึงช่วงของการเรียกขวัญมาให้

“…สะหรีสวัสดี ฑีฆายุกา อะจะสิทธิราโต อะจะสิทธิอุตตะโม อะจะในวันนี้ก่เป๋นวันดี ศุภะมังคะละอันล้ำเลิศยิ่งกว่าวันและยามตังหลาย

…บัดนี้ผู้ข้าทั้งหลายจักมากฎหมายเรียกร้อง สามสิบสองขวัญเจ้าว่ามามา…

ฝูงญาติก๋าลูกหลานเหลนแห่งเจ้า เขาก่มาหันยังต๋นตั๋วแห่งเจ้านี้นา มีความโศกาเศร้าโศก โศกาทุกขเวทนา บ่รู้สร่างมายแควน จิ่งปากั๋นมาตกตำดาแต่งห้าง ยังขันใบกว้างใส่บายศรี ประดับดีหยั่นหย้อง หาใส่พร้อมจุอัน ใส่ทั้งกล้วยจั๋นและกล้วยตีบ เขาก่ฟั่งรีบหาเอามา…

มีตังหมากเหมี้ยงปูยา มีตังจิ๊นตัวหนา มีตังปลาตัวใหญ่ กล้วยอ้อยใส่ไว้พรั่งพร้อมจุดอัน…

มีตึงผ้าเสื้อและจ้องแว่นหวี แหวนตองดีเคยหย้อง หาใส่พร้อมหมู่มาลา…”

 

กลิ่นของเทียนขี้ผึ้งละลายในไฟ ให้ความรู้สึกแปลกประหลาดพิกลในความรู้สึก เหลือบตาดูพี่โฟ เห็นนั่งพนมมือแต้ หรุบสายตาลงต่ำ ส่วนแม่นั้นนั่งเอามือวางประสานบนตัก ไม่ได้ไหว้ตามกัน หากในท่วงท่าเหล่านั้น ค่อยๆ เรียกเอาบางสิ่งเข้ามา

มีความสงบ…ความเย็น แทรกสลับกับความอุ่นอวล ผ่านเข้ามาช้าๆ เสมือนว่าเสียงท่องมนต์ของพ่อนั้นจะพามนต์ขลังเกิดได้จริงๆ

ฉันหลับตาลงเมื่อไหร่ไม่ทันรู้ตัว หูจับได้แต่คำที่พ่อร่ายออกมา

…แปลกนักหนา ฉันเพิ่งเคยได้ตั้งใจฟังคำเรียกขวัญนั้น คล้องจองไพเราะดั่งบทกวี

“…มีตึงผ้าเสื้อและจ้องแว่นหวี แหวนตองดีเคยหย้อง หาใส่พร้อมหมู่มาลา…

ใส่ตังดอกจำปีและจำปา สะบันงาเทศ ดอกวิเศษงามดวง สลิดเครือวัลย์สีหนุ่ม หอมปุ่นชุ่มเย็นใจ๋ มีตังดอกหอมไกลและหอมค่อย ยวงดอกย่อยสีเหลือง เกถะหวาเมืองขาวสะพรั่ง ดอกทั้งแก่หนุ่มสูนกั๋น…

กุหลาบบานงามสีฟ้ามุ่ย ลายอุ่ยหลุ่ยขาวออนซอน มีตังดอกพุทธสรณ์แดงก่ำ ช้ำเพียบพรั่งเหมือนดอกบัวระวงศ์ มีทั้งดอกบัวระหงบานงอหย่อนห้อย เกสรอ่อนย้อยหื้อหมู่มาลาจม…

มีตังดอกสะบันงาเมือง บานเหลืองหอมแก่ หอมนักแกแท้เนอ มีตังดอกซอมพอ บานเป็นช่อ เขาก็เอามาตำต่อหยั่นหย้อง หาใส่พร้อมหมู่มาลา เพื่อจักอัญเชิญขวัญ 32 ขวัญเจ้า ได้มาชมเชยยังรสดอกไม้ทั้งหลาย ฝูงข้านี้นาจัดแต่งรอไว้ ถ้าขวัญเจ้าเบื่อยามมา บัดนี้นาข้าก่จักเรียกขวัญเจ้าว่ามา มา…

แม้นว่าได้ไปขำคาอยู่ที่นานา ต่างๆ วันตกวันออกขอกใต้หนเหนือ ก่หื้อได้จดเจื้อมาพร่ำพร้อม หื้อมาตังขวัญท้องขวัญหลัง ขวัญแห่งอกอ้าแผ่ก๋ายา แม้นได้ไปขำไปคาอยู่ต๋ามบ้านใต้บ้านเหนือ ตังวันตกวันออก หลอนว่าได้ไปเมืองนอกที่ซาอุดีอาระเบีย…”

 

น้องหัวเราะคิกออกมา

“อะไรลูก” แม่รีบจับไหล่ และกระซิบถาม

“ขวัญไปถึงซาอุฯ เลยเหรอ” น้องเงยหน้าขึ้นถาม

พี่โฟหลุดเสียงหัวเราะออกมาบ้าง

“เออ นั่นสิ ขวัญอีพี่ก็ไปแค่เวียงเชียงใหม่ ขวัญข้าเจ้าก่ไม่เคยไปเมืองนอกสักเทื่อ อีพ่อมันว่าไปเรื่อยไหมนั่น”

 

ฉันคิดว่า พ่อย่อมจะได้ยิน และอาจจะกระแอมกระไอปรามออกมา ทว่า พ่อก็เพียงแต่มองมา และกล่าวคำร่ายเรียกขวัญต่อไป

แม่เสียอีก เป็นฝ่ายบอกกับพี่โฟเสียงค่อยว่า

“มันเป็นคำพรรณนาโวหาร อย่าใจไขว้เขว เดี๋ยวขวัญสูเขาจะไม่มา”

น้องรีบพนมมืออีกครั้ง และหลับตาจนตาหยี มือป้อมๆ แสดงความตั้งใจอย่างเต็มที่ สายตาที่ชินกับความสลัวมากขึ้นทุกที ทำให้ภาพนั้นงามนัก น่ารักน่าเอ็นดู

กลิ่นของดอกไม้ในพุ่มพาน และในขันสลุง รวยรินเกลื้อกลั้วมากับกลิ่นเทียนที่กำลังลุกไหม้ พ่อยังร่ายเรียกขวัญต่อไปด้วยปากเปล่า

ชั่วขณะหนึ่ง ฉันอดพิศวงไม่ได้ พ่อจดจำคำพวกนั้นได้ทั้งหมดอย่างไร หรือว่ามันอยู่ในหัวของพ่อหมดจดหมดสิ้น เหมือนบทกวีที่อยู่ในหัวของฉัน

“…แม้นว่าขวัญเจ้าไปแอ่วในเมืองเชียงใหม่ลำพูน แม้นว่าขวัญเจ้าไปสับสูนเพื่อมิตรญาติ แม้ว่าขวัญเจ้าไปมัวเมาแอ่วที่แม่ค้ากาดขายของ…

แม้นว่าขวัญเจ้าไปหลับนอนบ่ตื่น กาว่าขวัญเจ้าจักไปทางอื่นหนไกล แม้นว่าขวัญเจ้าไปหันฟองน้ำใสตื่นเต้น เห็นปูปลาลอยเหล้นแตกสนสาน จิตตะวิญญาณเจ้าตกกว่า กันว่าข้าเรียกแล้วก็จุ่งหวนคืนมา…

หล้างเตื้อนั้นหนา ขวัญเจ้าไปไต่ขัวข้ามน้ำแม่ใหญ่ จิตแตกไฝ่เฟือนกลัว ขวัญเจ้าไปตกที่ขัวนั้นแล้ว…”

 

อย่างช้าๆ ที่ฉันรู้สึกว่าเสียงของพ่อ ราวกับจะค่อยๆ พาขวัญของฉันกลับมาได้จริง ในทุกๆ คำแน่นหนัก การกระชากขึ้นเสียงลงเสียง เพียงคล้ายจะมีดนตรีร่ายคลออยู่รำไร ทั้งที่จริงคือเสียงน้ำไหลจากฝาย และใบไม้ที่ไหวต้องลมอยู่กราวๆ

พ่อคงจะเคยไปเรียกขวัญใครต่อใครมามากมาย ทั้งในเขตหมู่บ้านและตำบล แต่ครั้งนี้ คงเป็นครั้งแรกที่พ่อต้องมาเรียกขวัญคนในครอบครัวตัวเอง

“…แม้นว่าขวัญเจ้าไปแอ่วป่าล่าดอยดง ในโขงเขตกว้าง ได้ข้องค้างอยู่ที่นั้นเล่า จุ่งหื้อเจ้าคืนมา อยู่กับก๋ายะอินทรีย์แห่งเจ้า จุเข้าจุขวัญเจ้าอย่าไปอยู่จิ่มเสือหมีในป่ากว้าง…

ขวัญเจ้าอย่าไปสู่จิ่มแม่กิ่วสะว้างหมู่นารี แม้นว่าขวัญเจ้าไปสะดุ้งเสือหมี และกวางฟานปีบโขกร้อง เสียงสนั่นก้องปู๋นกลัว ก่หื้อปิ๊กคืนมาหาต๋นตั๋วแห่งเจ้า ข้าจักบอกเล่าเจ๋ตนา…

…หื้อนายฟังยังห่าฝน เมขลา ก่จักตกลงมาแต่อากาศกลางหาว เสียงฟ้าครางคราวคือคาด สายฟ้าฟาดธรณี จะหลอนปี๋เดือนใดดีมาไคว่ น้ำก่จักนองใหญ่ไถ่ถ้วมฝูงโขงจุมปู เสียงก๋งธนูพระยาอินตาทิพเนตร ยิงยังเปรตไอศวร

…สายฟ้าเรืองลุกแวบ เสียงกระแทกดังตะโต้ม เป๋นลมฝนอันใหญ่ ไม้หักไขว่กล๋างทาง ภูผาพังดอยโหยด นันตั๋วโสตพงไพร มีตังสัตว์จัญไรเสือหมีหมา… เขาย่อมแสวงหาเอาขวัญคนเราไปบ่ขาด

กันว่าขวัญเจ้าไปแล้วจุ่งยาตรถลามา มาเต๊ะ 32 ขวัญเจ้า หื้อมาอยู่เฝ้าเมืองคนเรานี้หนา ให้คืนมาสู่ตัวแห่งเจ้า…”

 

เสียงสูดน้ำมูกดังแทรกขึ้นมา แล้วตามด้วยเสียงสะอื้นอย่างอดกลั้นไม่ได้

ฉันลืมตา พบว่าพี่โฟกำลังพยายามเช็ดน้ำตาตัวเองอยู่วุ่นวาย

“เป็นอะหยัง โฟ”

แม่ถามเสียงค่อย และเหมือนพ่อจะหยุดชะงักไปชั่วครู่หนึ่ง

“เจ้าฟังแล้วซึ้งใจ” พี่โฟตอบแม่ “อีพ่อมันฮ้องขวัญได้กินใจเหลือเกิน…มันเหมือนจะกั๊ดอยู่ในหัวอกนี่”

พี่โฟเอามือแตะที่หน้าอกตัวเอง

“สูมาเทอะ อีแม่ อีพ่อ ข้าเจ้าขอยกมือไหว้สา…ถึงขวัญเจ้าจะมาไม่มา แต่บัดนี้ตัวข้าเจ้าก่อยู่ตรงนี้…จะไม่ต้องไปไหนแล้วได้ก่…ขอข้าเจ้าอยู่กับอีพ่ออีแม่แต่นี้ต่อไปเลยได้ก่”

แม่เลื่อนสายตาไปมองพ่อ และพ่อก็ยังร่ายคำต่อไป

ในแสงเทียนที่เปลวระริกวูบไหว ฉันไม่แน่ใจว่าควรจะรู้สึกอย่างไรกับคำฟู่ของพี่โฟ แค่เสี้ยวหนึ่งที่วาบวูบขึ้นมา ขวัญฉันเล่า เคยไปตกหล่นหนไหน และในมืดดำล้ำลึกเหล่านั้น ฉันยังเป็นเจ้าของมันอยู่อีกหรือเปล่า