ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 23 - 29 กันยายน 2559 |
---|---|
คอลัมน์ | ภาพยนตร์ |
ผู้เขียน | นพมาส แววหงส์ |
เผยแพร่ |
“โต๊ะที่ว่างเปล่า” เป็นชื่อหนังสือที่ตัวละครเอกเคยเขียนเมื่อหลายปีมาแล้วสมัยยังเรียนอยู่หรือเพิ่งเรียนจบ และได้รับรางวัลหนังสือยอดเยี่ยมของปีนั้น
ในขณะที่คนบางคนแสดงความสามารถให้ประจักษ์และประสบความสำเร็จเมื่อวัยล่วงเลยไปแล้วพอควร (late bloomer) แต่เรียวโตะ (ฮิโรชิ อาเบะ) อยู่ในกลุ่มอัจฉริยะที่เบ่งบานแต่เยาว์วัย (early bloomer) ใครๆ ก็คาดหวังว่าเขาจะเติบโตกลายเป็นบุคคลที่ประสบความสำเร็จอย่างเยี่ยมยอดต่อไป
ทว่า เก้าปีหลังจากความสำเร็จสูงสุดครั้งนั้น เรียวโตะก็พบตัวเองกำลังพยายามเขียนหนังสือเล่มที่สอง ดิ้นรนหาเลี้ยงปากเลี้ยงท้องด้วยการเบนเข็มไปทำงานในบริษัทนักสืบเอกชน รับงานสืบและติดตามเรื่องชู้สาวคาวโลกีย์ โดนภรรยาสาวคนสวย เคียวโคะ (โยโคะ มาคิ) หย่า และพรากลูกชายคนเดียว ชิงโกะ (ไตโย โยชิซาวะ) ไป โดยที่เขาติดค้างเงินค่าเลี้ยงดูลูกอยู่หลายเดือน และไม่มีปัญญาหามาได้ เพราะไม่ว่าหาได้เท่าไหร่ ก็เอาไปเล่นการพนันเสียไปหมด
เรียวโตะต้องการเหลือเกินที่จะทำตัวเป็นพ่อที่ดีของลูก อยากส่งเสียเลี้ยงดูลูก และอยากซื้อของขวัญที่ลูกอยากได้ให้ เขาทำกระทั่งขู่กรรโชกแบล็กเมล์ และรีดไถเงินจากลูกค้าที่ไม่อยากตกเป็นข่าวฉาวโฉ่
เรียวโตะมาถึงจุดที่ตั้งคำถามให้ตัวเองตอบ (ในใจ) ว่านี่หรือคือชีวิตเขา และนี่หรือคือชีวิตที่เขาอยากให้เป็น
ในสภาพถังแตกและกระเป๋าแห้ง เขาพยายามแก้ตัวด้วยการพาลูกไปเที่ยว ซื้อรองเท้าเบสบอลคู่สวยให้ และพาไปกินแฮมเบอร์เกอร์โดยที่ตัวเองไม่ยอมสั่งมากิน บอกลูกว่าไม่หิว ขณะที่หยิบเฟรนช์ฟรายของลูกเข้าปาก
และนัดให้เคียวโคะมารับลูกที่บ้านแม่ของเขา (คิริน คิคิ)
เหตุการณ์ในหนังเกิดขึ้นในวันที่พายุไต้ฝุ่นกำลังจะโหมกระหน่ำ และพาเราผ่านพายุนั้นไป
พายุในลักษณะที่เป็นทั้งรูปธรรมและอุปมา เป็นสิ่งท้าทายและพิสูจน์ตัวตนของคนเราว่า “หลังพายุ” แล้ว เราจะทำอะไรหรือเป็นอย่างไรต่อไป
พ่อแม่ลูกสามคนถูกสถานการณ์บังคับให้ต้องค้างคืนด้วยกันในบ้านแม่ของเรียวโตะ เพื่อรอให้พายุสงบ ทว่า ฮิโรคาซุ โคเรเอดะ ผู้กำกับฯ ที่คิดเรื่องและเขียนบทด้วยตัวเอง ไม่ได้ให้คำตอบแก่เราตามสูตรทั่วไป
โคเรเอดะนำเสนอหนังในลักษณะเสี้ยวหนึ่งของชีวิตที่เฉือนออกมาเพียงแผ่นบางๆ เหมือนแผ่นขนมปังที่ถูกเฉือนจากก้อนขนมปัง อย่างที่ฝรั่งเรียกว่า slice of life ซึ่งเป็นลักษณะ “ธรรมชาตินิยม” (naturalism) คือเสนอเรื่องราวอย่างตรงไปตรงมาเหมือนอย่างสิ่งที่เกิดขึ้นจริงๆ ในชีวิต
กล่าวคือ ไม่มีอะไรหวือหวา “เกิดขึ้น” จริงๆ แก่ตัวละคร (นอกจาก “พายุ” ตามชื่อเรื่อง) นอกจากสิ่งที่อยู่ในใจตัวละคร
และความเปลี่ยนแปลงนับจากนั้นก็ไม่ได้เกิดจากภายนอก แต่ขึ้นอยู่กับตัวละครว่าจะทำอะไรต่อไป
ผู้เขียนชอบหนังของโคเรเอดะ และติดตามมาตั้งแต่เรื่อง Nobody Knows ซึ่งเป็นเรื่องราวที่กินใจเหลือเกินของเด็กพี่น้องซึ่งต้องถูกบังคับให้อยู่ด้วยกันเองโดยลำพังในบ้านที่แม่ทิ้งไป หนังของเขาไม่ใช้อารมณ์หวือหวา หรือเรียกร้องความสงสาร หรือพยายามเค้นน้ำตาจากคนดูให้ร้องไห้สะอึกสะอื้น
แต่น้ำตาเราจะค่อยๆ ซึมออกมาเองโดยไม่รู้ตัวเมื่อเห็นความกล้าหาญในการใช้ชีวิตของตัวละคร
ผลงานของโคเรเอดะที่คนไทยได้ดูกันในโรงหนัง ก็มีอย่างเช่น I Wish, Like Father Like Son และหลังสุดก่อนหน้า After the Storm คือ Our Little Sister
ทุกเรื่องเป็นเรื่องราวชีวิตในครอบครัวที่แตกต่างกันออกไป และล้วนมีเอกลักษณ์ของตัวเองที่ทำให้เราต้องยอมรับว่า ความยุ่งยากทั้งหลายทั้งปวงนี้คือชีวิตที่เราทุกคนต้องเดินหน้าต่อไป
การสร้างเรื่องราวเป็นไปอย่างประณีตละเอียดอ่อน ไม่มีฉากไหนตอนไหนใส่เข้ามาลอยๆ หรือเกินเลย
แต่เรื่องราวเล็กๆ น้อยๆ ประกอบเข้ามาเพื่อเล่าเรื่องให้คนดูเข้าใจตัวละครได้แจ่มชัดและมีความเป็นมนุษย์ปุถุชนอย่างเยี่ยมยอด
หนังของเขานำเสนอชีวิตครอบครัวที่แตกสลาย ความล้มเหลวในชีวิต ความยากลำบาก ในขณะเดียวกันก็เต็มไปด้วยความวาดหวังและความฝันใฝ่
และไม่ได้นำไปสู่ “ตอนจบแสนสุข” อย่างที่เราอยากได้และอยากกะเกณฑ์ให้ตัวละครเป็นไปดังใจเรา
แต่เป็นตอนจบอย่างดีที่สุดเท่าที่จะเป็นได้ เนื่องจากตัวละครมาถึงจุดที่มองเห็นตัวเองอย่างที่เป็นอยู่ ไม่ใช่หลอกตัวเองหรือหลอกคนอื่นอย่างที่เคยเป็นมา
ไม่มีข้อสงสัยเลยว่าคนดูทุกคนจะชอบตัวละครของตัวแม่ คิริน คิคิ เป็นนักแสดงรุ่นเก๋าที่หลายคนคุ้นหน้าคุ้นตาอยู่แล้วในหนังญี่ปุ่น
คิคิให้สีสันและความเป็นมนุษย์ของตัวละครด้วยฝีมือการแสดงที่ยอดเยี่ยมหาตัวจับยาก
ตัวละครชื่อโยชิโคะที่เป็นแม่ของเรียวโตะนี้ ทำเรียกทั้งรอยยิ้มทั้งน้ำตาซึมจากเรา ไม่มีใครอดใจไม่รักตัวละครตัวนี้ได้หรอกค่ะ
ชีวิตของโยชิโคะเองก็มีความฝันความวาดหวัง ซึ่งไม่ได้กลายเป็นจริง เธอมีสามีที่ไม่เอาไหน และลูกชายที่ทำท่าว่าจะเดินตามรอยพ่อในการเป็นคนล้มเหลว จับจด กะล่อนและไม่เอาไหนไปด้วย
ชีวิตของตัวละครดูเป็นมนุษย์แท้ๆ และเป็นจริงจนชวนสะท้อนใจ โดยไม่ได้บีบคั้นอารมณ์จนเกินเลยในแบบหนังชีวิตเศร้าเคล้าน้ำตาที่เป็นเมโลดรามาทั้งหลาย
หนังจบลงอย่างที่ควรจบ โดยไม่ได้ให้มีเหตุการณ์ภายนอกมาเปลี่ยนแปลงชีวิตตัวละคร แต่ยังคงไว้ซึ่งความหวังและความฝันที่ตัวละครอาจทำให้กลายเป็นจริงได้ด้วยการตัดสินใจของตัวเอง ไม่ใช่จากโชคเคราะห์หรืออานุภาพสิ่งศักดิ์สิทธิ์ หรือเหตุการณ์ภายนอก
เมื่อหนังจบ เรายังไม่อยากจากตัวละครไปเลย ยังอยากติดตามและได้รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นแก่ชีวิตของพวกเขา แต่เราก็รู้เหมือนกันว่านี่แหละคือการจบที่เหมาะสมและลงตัวที่สุดแล้ว
หนังเรื่องนี้เป็นหนึ่งในโครงการ The Little Big Films ที่ชวนติดตามมากค่ะ
กำกับการแสดง
Hirokazu Koreedaนำแสดง
Hiroshi Abe
Kirin Kiki
Yoko Maki
Taiyo Yoshizawa