อนุสรณ์ ติปยานนท์ : อาหารยามจาริก

My Chefs (29)

อาหารยามจาริก (1)

ผมไม่ได้พบกับไคลน์เป็นเวลานับสิบปี

วันแรกที่ผมรู้ว่าเขามาพำนักอยู่ในลาวนั้น ผมก็เริ่มคิดถึงการเดินทาง เราทั้งคู่เคยทำงานร่วมกันในครัวแห่งหนึ่งที่ลอนดอน

ไคลน์มีตำแหน่งในครัวสูงกว่าผม แต่เขามีอายุน้อยกว่าผมในพื้นที่นอกครัว เขาจึงเป็นเจ้านายผมเวลาที่เราหมกมุ่นการงานและเป็นน้องชายของผมเวลาเราพ้นจากภาระดังกล่าว

ในเวลางานเขาเรียกผมว่า “เชฟ” แต่นอกเวลางานเขาเรียกผมว่า “พี่ชาย”

เราทั้งคู่จัดวางความสัมพันธ์กันอย่างนั้นโดยมีอาหารเป็นสื่อกลาง

ไคลน์เป็นคนคล่องแคล่วอันเป็นคุณสมบัติสำคัญของการทำงานในครัว

นอกจากนี้ เขายังมีคุณสมบัติของความร่าเริงอันชวนให้ใครต่อใครอยากเข้าใกล้

ไคลน์หัวเราะหรือยิ้มอยู่แทบตลอดเวลาแม้กระทั่งในยามผิดพลาด

ครั้งหนึ่งเขาโยนปลา Sea Brass ลงถังขยะหลังจากพบว่าเผลอใส่เกลือบนเนื้อปลามากเกินไป

คำพูดสุดท้ายที่เขาพูดกับปลาตัวนั้นคือ “มีความเค็มติดตัวแล้ว เจ้าจะไปว่ายต่อที่ไหนคงไม่เป็นไรกระมัง?”

พ้นจากอาหารแล้ว เราทั้งสองคนมีความแตกต่างกันอย่างมาก

ในช่วงพัก ผมจะเข้าร้านกาแฟและหยิบหนังสือนวนิยายขึ้นอ่าน

แต่ไคลน์จะตรงดิ่งเข้าไปในผับแล้วหาเบียร์สักไพน์ใส่ท้อง

ผมชอบเพลงที่โบราณ แต่ไคลน์เดินเข้าร้านขายแผ่น CD ที่ชื่อ HMV เพื่อแสวงหาเพลงใหม่ทุกสัปดาห์

ในวันอาทิตย์ขณะที่ผมกำลังนั่งเงียบๆ อยู่ในสวนในพิพิธภัณฑ์สักแห่ง

ไคลน์คงนั่งอยู่ในสนามฟุตบอลแถบตอนเหนือของลอนดอนเพื่อเชียร์ทีมอาร์เซนอลที่เขาโปรดปราน

เรามีความแตกต่างกันมากถึงเพียงนั้น แต่ในครัวแห่งนั้นทุกครั้งที่ผมมีปัญหา ผมจะหันหน้าเข้าหาไคลน์เสมอ

ไคลน์ไม่ได้สนใจอาหารมาตั้งแต่ต้น

แรกเริ่มเดิมทีเขาอยากเป็นนักฟุตบอลแบบเดียวกับที่เด็กผู้ชายส่วนใหญ่อยากเป็น

หากแต่หลังจากล้มเหลวที่จะได้คัดเลือกเข้าไปอยู่ในโรงเรียนฟุตบอลของทีมโปรด (แน่นอนว่าเป็นอาร์เซนอล) ไคลน์ก็หมดความต้องการและแรงปรารถนาในการเรียน

เขาออกจากโรงเรียนในช่วงมัธยม ใช้ชีวิตเกกมะเหรกเกเรพอประมาณ นับตั้งแต่หัดสูบบุหรี่ กินเหล้า เมายา รับจ้างทำอะไรพอให้อยู่ได้ นับแต่การเป็นลูกมือแบกท่อประปาให้กับช่างประปาแถวบ้าน ผสมปูนรายวันให้เข้ากับพวกช่างก่อสร้าง

คงเพราะความเบื่อหน่าย เมื่ออายุได้สิบแปดปี ไคลน์ลงเรียนคอร์สทำอาหารเช้าช่วงสั้นๆ ที่วิทยาลัยชุมชน

และเริ่มต้นทำงานในร้านอาหารแบบเชนสโตร์ (เขาเล่าว่าเขาผ่านมาแล้วทั้ง Au Bon Pain และ Pret a Manger แถมยังเคยทำขนมปังไหม้รวดเดียวกว่าสี่สิบชิ้น เสียดายถ่ายรูปไว้ไม่ทัน เขาเล่าเสริม)

ก่อนจะเก็บรวบรวมเงินแถมเงินจากทางบ้านที่เหลือเพียงแม่และน้องสาว เข้าเรียนในโรงเรียนทำอาหารมีชื่อจนจบคอร์ส

หลังจากนั้นไคลน์สมัครงานไปทั่ว ไล่จากร้านที่ได้ดาวและคำนิยมอย่างสูงมาจนถึงร้านระดับรองลงมา

ความคล่องแคล่วของไคลน์ทำให้เขาแทบไม่เคยถูกปฏิเสธ แต่ความคล่องแคล่วนั้นก็นำพามาซึ่งความเบื่อหน่ายอันรวดเร็ว

สามเดือนคือเวลาที่เขาประจำในร้านอาหารแต่ละที่ หกเดือนคือยาวนานที่สุด ถ้าเกินกว่านั้นแสดงว่าที่นั่นมีอะไรพิเศษแล้ว

ไคลน์กล่าวในท่ามกลางบทสนทนาของเราทั้งคู่ในวันหนึ่ง

ช่วงเวลาสั้นของไคลน์ในครัวของเราทำให้ผมได้อยู่ในงานเลี้ยงอำลาของเขาด้วย

ไคลน์อยู่กับเราสี่เดือนกว่า เกินระยะเวลาปกติ แต่ไม่ยาวนานพอถึงแปดเดือนที่ทำให้ครัวของเราเป็นที่พิเศษ

เขานัดคนครัวทุกคนที่สนิทไปยังบ้านของเขาแถบวอลแทมสโตว์

คืนนั้นผมลงทุนนั่งรถแท็กซี่สีดำเพื่อไม่ให้สูทตัวใหม่ที่ซื้อมาจากร้านมาร์กแอนด์สเปนเซอร์ต้องยับย่นจนเกินไป (ซึ่งผลลัพธ์สุดท้ายในคืนนั้นมันก็ยับย่นอยู่ดี)

แต่เมื่อผมไปถึงห้องพักของเขาบนชั้นสองของอาคารที่ก่อด้วยอิฐแดงคร่ำคร่า ผู้เป็นเจ้าของบ้านก็ยังไม่กลับมา

เจสสี่ เชฟของหวานของเราบอกว่าไคลน์ขอตัวออกไปหาอาหารมาเพิ่มแถบทางใต้ของลอนดอน

พวกเราทุกคนนั่งเคี้ยวเฟรนช์ฟรายเหนียวหนึบแกล้มด้วยเบียร์ฟอสเตอร์

ผมพยายามนั่งนึกว่าอาหารอะไรที่ไคลน์ต้องลงทุนไปตามหามาเสิร์ฟเรา

ปลาแซลมอนนอร์เวย์ ปลาคอดจากโปรตุเกส ตับห่านจากออสเตรเลีย หรือแม้แต่ปลากุเลาจากไทย

ความคิดเพลิดเพลินเช่นนี้จบลงเมื่อมีเสียงรถรับจ้างจอดลงที่ริมถนน ใครบางคนที่ชะโงกหน้าออกไปทางหน้าต่างตะโกนว่า “มาแล้ว”

และเมื่อไคลน์เปิดประตูเข้ามา ผมจึงพบว่าตนเองเดาผิด

อาหารของไคลน์เล็กกว่าที่ผมคาด

บริสุทธิ์กว่าที่ผมคิด มันเป็นผงสีขาวที่ห่อมาอย่างเรียบร้อยด้วยมืออาชีพ

มันเป็นอาหารร่างกายที่เป็นผงสีขาวนาม – โคเคน

นั่นเป็นครั้งแรกที่ผมล่วงรู้ว่า ชีวิตในวัยเด็กของไคลน์ผ่านการเผชิญกับยาชวนเสพนานา เขาเล่าถึงประสบการณ์ต่างๆ เหล่านั้นหลังจากใช้ธนบัตรใบละ 20 ปอนด์ ม้วนเป็นทรงกลมและสูดผงสีขาวบนแผ่นกระจกไปหนึ่งครั้ง

ไคลน์เอนหลังพิงกำแพงแล้วบ่นเปรยว่า “ในสมัยก่อน อะไรๆ ดูจะดีและมีรสชาติกว่านี้ ตั้งแต่แฮมเบอร์เกอร์ เคบับ จนกระทั่งโค้กหรือโคเคน”

เขาเล่าถึงครั้งแรกของการเสพยาจากกัญชามวน ขยับไปจนถึงแอลเอสดีที่เขาเล่าว่าแทบเอาตัวกลับมาไม่ได้ ยาอี หรือเคมีบำบัดที่เขาบอกว่าชวนให้ตื่นเต้นไม่หลับไม่นอน มาจนถึงโคเคนที่เขาบอกว่าดีที่สุดแต่ราคาก็แพงใจหาย จนต้องถึงวาระพิเศษจริงๆ

พวกเราทุกคนเสพอาหารที่ไคลน์ไปหามาคนละครั้ง

มันเป็นดังการร่วมพิธีกรรมศักดิ์สิทธิ์ที่ว่าครั้งหนึ่งเราเคยออกเดินทางไกลด้วยสารเคมีร่วมกัน

สารเคมีที่ว่านั้นทำให้ไคลน์ตื่นตัว

เขาปิดหน้าต่างทุกบาน เอากระดาษชำระยัดตามร่องประตู แล้วเปิดดนตรีจากเครื่องเสียงของเขาอย่างดังจนพื้นสะเทือน

พวกเราทั้งหมดเอนหลังลงกับห้องของไคลน์ ปล่อยให้เสียงเพลงดังก้องไปทั่ว

มีควันบุหรี่ของใครบางคนกั้นระหว่างเรากับเพดานห้องเป็นม่านจางๆ

ภาพสุดท้ายของผมคือม่านควันเหล่านั้นขยายตัวหนาหนักขึ้น หนักขึ้นพอๆ กับเปลือกตาของผม

ก่อนที่สติสัมปัญชญะของผมจะดับไป

เช้าวันรุ่งขึ้น ผมตื่นขึ้นในห้องของไคลน์พร้อมกับสภาพที่คอแห้งผาก

ยังไม่มีใครตื่นขึ้นอีกนอกจากไคลน์

ภาพที่ผมเห็นคือเขาลงมือทำไข่กวนเป็นอาหารเช้าให้พวกเราทุกคน ไม่นับมันบดที่เขาทำเสร็จแล้ว

สำหรับคนที่รู้จักกันในช่วงเวลาสั้นๆ ไคลน์เป็นคนที่มีน้ำจิตน้ำใจสำหรับเพื่อนร่วมงานและคนรอบตัวอย่างยิ่ง

เมื่อเขาหันมาเห็นผม เขาก็เอ่ยขึ้นว่า “พี่ชาย จัดการเอาเองนะ กาแฟสำเร็จรูปอยู่ทางนั้น กาแฟเครื่องอยู่อีกทาง

ส่วนถ้าอยากเบียร์ ในตู้เย็นน่าจะพอมีซุกอยู่ที่ไหนสักกระป๋องสองกระป๋อง

หรือจะเอาไวน์ก้นขวด ผมก็น่าจะมีเก็บไว้ที่มุมใดมุมหนึ่งของห้อง ลองหาดู”

ผมลุกขึ้น เดินเข้าห้องน้ำ ล้างหน้าล้างตา ก่อนจะชงกาแฟสำเร็จรูปให้ตนเองหนึ่งถ้วย หลังจากนั้นผมนั่งลงบนเก้าอี้ในครัว ดูไคลน์ปิ้งขนมปัง ทอดแฮม อย่างเพลิดเพลิน

กลิ่นอาหารยามเช้าเป็นหนึ่งในกลิ่นที่สวยสดงดงามที่สุดกลิ่นหนึ่งที่โลกนี้เคยมีมา

ผมจากที่พักของไคลน์ในวันนั้นมาพร้อมกับอีเมลของเขา ไคลน์จดสิ่งเหล่านี้ลงบนบิลเงินสดให้ผม ในขณะที่ผมจดอีเมลของผมลงในกระดาษอย่างดี

“หวังว่าเราคงจะได้พบกันอีก ผมชอบเอเชียมากๆ โดยเฉพาะเอเชียที่ทุรกันดาร” เขาเอ่ย

แม้ว่าจะมีสารคดีจำนวนมากเกี่ยวกับประเทศไทยและดินแดนแถบนี้ แต่สำนึกของไคลน์ยังคงอยู่ในช่วงสงครามเย็น

เขามองเห็นภาพของป่าดงดิบ งูเงี้ยวเขี้ยวขอ สัตว์แปลกๆ ผู้คนแปลกๆ ที่พูดภาษาถิ่น ฝนที่ตกตลอดปี แม่น้ำที่เต็มไปด้วยความลี้ลับ

ไคลน์มองเห็นภาพเหล่านี้เมื่อจ้องมองแผนที่ของดินแดนเอเชีย

“ผมอยากลองขี่ช้างด้วย เห็นว่ามีมากในประเทศคุณ เราน่าจะได้พบกันอีก” ผมเชื่อเช่นนั้น

ไคลน์เชื่อเช่นนั้น แต่ไม่ใช่ผม หลังกาลเวลาผ่านไปได้ไม่นาน อีเมลของไคลน์หายสูญไปกับสายลมหรืออะไรสักอย่าง ผมกลับบ้านเกิดพร้อมกับสิ่งของที่จำเป็น

ซึ่งแน่นอนว่านั่นไม่รวมอีเมลของไคลน์

ด้วยเหตุนี้เอง เมื่อกาลเวลาผ่านไปกว่าสิบปี และมีข้อความของใครบางคนที่ผมไม่คุ้นเคยปรากฏขึ้น ผมจึงลังเล

“สวัสดี ผมไคลน์เอง ผมย้ายตนเองมาอยู่ในประเทศลาวได้สักพักแล้ว ไม่แน่ใจว่าคุณยังใช้อีเมลนี้อยู่ไหม แต่ถ้าใช้อยู่ ติดต่อผมกลับด้วย ผมอยากเจอเพื่อนเก่า มาพักที่บ้านของผมก็ได้ แม้จะกันดารหน่อย แต่รับรองว่าอากาศดีจนเหลือเชื่อเลยทีเดียว”

ผมตอบข้อความของไคลน์

และถามย้ำว่าใช่ไคลน์ผู้เป็นหนึ่งในครัวของเราเมื่อกาลก่อนหรือไม่ และถ้าใช่ ขอให้เขาส่งพิกัดที่แน่นอนของที่พักเขาในลาวมาให้ด้วย ไคลน์ตอบผมมาในอีกสองวันถัดไป

ที่พักของเขาอยู่แถวกาสี เมืองเล็กๆ ในหุบเขาบนเส้นทาง วังเวียง-หลวงพระบาง

ผมตัดสินใจซื้อตั๋วรถไฟไปยังหนองคายในวันรุ่งขึ้น จากที่นั่นผมทดลองนั่งรถไฟข้ามประเทศไปยังท่านาแล้งและต่อรถรับจ้างเข้าสู่เวียงจันทน์

จากเวียงจันทน์ ผมเดินทางต่อไปยังวังเวียง เมืองเล็กๆ แห่งนี้ที่ผมเคยมาเยือนเปลี่ยนแปลงตนเองไปมาก ป้ายโฆษณาร้านอาหารภาษาเกาหลี ญี่ปุ่น จีน ผุดแทรกตามมุมต่างๆ เป็นระยะ

เฮือนพักริมซอง ข้างแม่น้ำซองที่ผมเคยพักมีนักท่องเที่ยวเดินทางมาไกลแม้แต่จากรัสเซียและเซาธ์แอฟริกา

โลกนี่ไม่เคยขาดแคลนการเดินทาง ผู้คนเคลื่อนย้ายตนเองอยู่เสมอ ไม่เว้นแม้แต่ชายที่ผมไม่คิดว่าเขาจะเดินทางมาไกลถึงเพียงนี้อย่างไคลน์

เช้าวันรุ่งขึ้นในขณะที่แสงแดดเริ่มโผล่พ้นแนวเทือกเขาแห่งวังเวียง ผมเก็บสัมภาระทั้งหมดโยนขึ้นสู่รถประจำทางมุ่งหน้าไปกาสี

ไปเมืองเล็กๆ แห่งนั้นเพื่อพบไคลน์