ภาพยนตร์/นพมาส แววหงส์/A QUIET PLACE ‘มหันตภัยแห่งเสียง’

นพมาส แววหงส์

ภาพยนตร์
นพมาส แววหงส์

A QUIET PLACE

‘มหันตภัยแห่งเสียง’

กำกับการแสดง John Krasinski
นำแสดง Emily Blunt John Krasinski Millicent Simmonds Noah Jupe

หนังทริลเลอร์เขย่าขวัญเรื่องนี้มีชื่อจอห์น คราซินสกี้ กลาดเกลื่อนในเครดิตทั่วไปหมด ทั้งในฐานะผู้ร่วมเขียนบท ผู้กำกับฯ นักแสดงนำ และหนึ่งในผู้อำนวยการสร้าง โดยนักแสดงหญิงที่เล่นคู่กับเขาในบทบาทภรรยาที่เป็นหญิงแกร่ง คือ เอมิลี บลันต์ ก็เป็นภรรยาในชีวิตจริงด้วย
เอมิลี บลันต์ เป็นนักแสดงชาวอังกฤษฝีมือเยี่ยมที่สุดคนหนึ่งที่มีอยู่
เธอแปรเปลี่ยนบทบาทไปตามที่บทเรียกร้องต้องการอย่างหลากหลายและทำได้อย่างหนักแน่นน่าเชื่อเสมอ
ไม่ว่าจะเล่นบทบู๊ล้างผลาญเข้มข้นอย่างใน Scicario และ Edge of Tomorrow
บทดราม่ากินใจอย่างใน Salmon Fishing in the Yemen
บทงามสง่าเยี่ยงราชินีอังกฤษขณะยังทรงพระเยาว์อย่างใน Young Victoria
หรือบทยอดฮาใน The Devil Wears Prada
ซึ่งเรื่องหลังนี้เธอสร้างความประทับใจแบบชวนหมั่นไส้แก่บทของเลขานุการผู้เก่งกาจทรงประสิทธิภาพของบอกอนิตยสารแฟชั่นชั้นนำของนิวยอร์ก จนได้รับรางวัลออสการ์สาขานักแสดงหญิงสมทบไปเมื่อหลายปีมาแล้ว
เมื่อเล่นกับเมอริล สตรีป ผู้น่าเกรงขาม และแอนน์ แฮธาเวย์ ในวัยแจ่มจรัส

AQuiet Place เปิดเรื่องโดยไม่พูดพล่ามทำเพลงเล่าถึงความเป็นมาก่อนหน้า มีแต่ตัวหนังสือขึ้นจอว่า “Day 89” ซึ่งหมายความเรื่องของเรื่องเกิดขึ้นครั้งแรกเมื่อ 89 วันมาแล้ว และยังต่อเนื่องดำเนินอยู่
พ่อ (จอห์น คราซินสกี้) แม่ (เอมิลี บลันต์) ลูกสาวคนโต (มิลลิเซนต์ ซิมมอนด์ส) ลูกชายคนรอง (โนอาห์ จูเป) และลูกชายคนเล็ก กำลังเดินเท้าเปล่าอย่างเงียบเชียบอยู่ในร้านค้าอันว่างเปล่าในเมืองเล็กๆ ส่งสัญญาณแก่กันและกันห้ามส่งเสียงหรือทำเสียงอะไรออกมาเลย
อันตรายอันลึกลับและน่าสะพรึงกลัวห้อมล้อมอยู่รอบกายในบรรยากาศเงียบสงัดของเสียงฝีเท้าเบาๆ กระทบพื้น เสียงลมหายใจแผ่วๆ ที่กลั้นไว้ ความระมัดระวังในการมองหากล่องยาที่ตั้งโชว์เรียงรายบนชั้น ความซุ่มซ่ามเพียงนิดเดียวจะก่อให้เกิดเสียงซึ่งเป็นมหันตภัยใหญ่หลวงและลี้ลับ ซึ่งเรายังไม่รู้ว่าเป็นอะไรแน่
และแล้วลูกชายคนเล็กที่ฝันจะหนีไปพ้นจากสถานการณ์เลวร้ายนี้เสียที โดยมองเห็นยานที่จะเหินฟ้าพาพวกเขาไปจากที่นี่ อยู่ในยานบินลำจิ๋วที่เป็นของเล่นแบบที่ใส่แบตเตอรี่ส่งเสียงหวึ่งๆ ให้เคลื่อนไปข้างหน้า
พ่อห้ามลูกชายไว้ทัน และริบของเล่นพร้อมแบตเตอรี่ไปจากมือลูกเสีย ทว่าพี่สาวใจอ่อนกับตาแป๋วๆ แสนเสียดายของน้องชาย จึงหยิบของเล่นมาใส่ในมือน้อง
ไม่เท่าไรก็เกิดเรื่องน่าสยดสยองขึ้นจนได้ เมื่อน้องชายผู้เดินต้อยๆ ตามหลังเป็นคนสุดท้าย แอบใส่แบตเตอรี่และเปิดยานบินของเล่นให้ทำงาน ส่งเสียงหวึ่งๆ ที่ทำให้ทุกคนเหลียวกลับไปมองอย่างสยดสยองที่สุด
และเราก็ได้เห็นมหันตภัยชวนสยองที่โฉบลงมาโจมตีเหยื่อที่ส่งเสียงให้ได้ยินเป็นครั้งแรก!!

วันเวลาผ่านไปอีกร่วมหนึ่งปี ครอบครัวนี้ยังดำเนินชีวิตในความเงียบเชียบระแวดระวังภัยเช่นเดิมในบ้านหลังน้อยกลางป่าที่คิดประดิษฐ์อุปกรณ์ระวังภัยเท่าที่จะทำได้ คือมีจอมอนิเตอร์จับตาดูรอบบ้านในระยะไกลจากทุกมุม แถมติดไฟให้ความสว่างทั่วบริเวณพื้นที่ในรัศมีหลายร้อยเมตร
จำนวนลูกยังคงเป็นสามคนเท่าเดิม โดยคนสุดท้องยังอยู่ในท้องแม่ที่จวนครบกำหนดคลอดอยู่ในไม่ช้าไม่นาน
พ่อพยายามสอนลูกชายตัวน้อยให้เผชิญหน้ากับความกลัวด้วยความกล้าหาญและมีสติ
ส่วนลูกสาวคนโตที่หูหนวกและเป็นใบ้ โดยต้องใช้เครื่องช่วยฟังติดหูอยู่ตลอด รู้สึกเหมือนถูกทอดทิ้ง เนื่องจากความผิดใหญ่หลวงที่เคยมีส่วนทำให้เกิดการสูญเสียของครอบครัว
หนังเดินเรื่องช้าๆ ในช่วงแรก และทวีความเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ จนเราแทบนั่งไม่ติดที่และลุ้นไปกับตัวละครแทบทุกฝีก้าว
เรารู้จากข้อมูลข่าวสารที่พ่อตัดเก็บไว้ ติดบอร์ด และคิดหาวิธีแก้ไขและต่อสู้กับอันตรายที่โฉบมาอย่างรวดเร็วและแน่นอนนี้ มองหาจุดอ่อนจุดแข็งของมัน
จุดอ่อนของมันคือมันตาบอดมองอะไรไม่เห็นเลย
แต่มีโสตประสาทที่ไวต่อเสียงมาก เสียงแม้เพียงน้อยนิดจะทำให้มันรู้ตำแหน่งแห่งที่ของเหยื่อในชั่วพริบตา และในแถบพื้นที่ที่ครอบครัวนี้อยู่อาศัยมีพวกมันอยู่ทั้งหมดสามตัว
ภัยที่ใหญ่หลวงของครอบครัวคือทารกที่กำลังจะคลอดมาดูโลกอันน่ากลัวนี้ และเสียงร้องของทารกผู้ไร้เดียงสาจะฟ้องตำแหน่งแหล่งที่และเป็นอันตรายต่อตัวเองและครอบครัวในฉับพลันทันใด
และเด็กก็ถึงเวลาคลอดในยามเมื่อแม่ถูกทิ้งไว้คนเดียวในบ้าน ขณะที่พ่อและลูกสองคนออกไปอยู่ข้างนอก

นี่เป็นหนังที่ฉลาดที่จะสร้างความกดดันอันน่าหวาดเสียวสอดแทรกไว้ในสถานการณ์ อาทิ แม่เดินเท้าเปล่าจากห้องใต้ดินขึ้นบันได เอาผ้าที่ซักไปตากนอกบ้าน แต่เกิดสะดุดจนทำให้ตะปูตัวยาวแหลมเปี๊ยบโผล่ออกจากขั้นบันได
คนดูจะหวาดเสียวและหวาดผวาแทบตลอดเวลากับตะปูแหลมๆ ตัวนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อรู้อยู่ว่าคนในครอบครัวทุกคนเดินเท้าเปล่าอยู่เสมอ…เพื่อไม่ให้เกิดเสียงฝีเท้าดังไปกระทบหูอสูรตัวร้าย
และสารสำคัญที่หนังบอกเราคือเรื่องเกี่ยวกับความสัมพันธ์อันเหนียวแน่นในครอบครัว และพ่อแม่ผู้จะต้องปกป้องคุ้มครองลูกจากอันตรายทั้งปวง ดังที่แม่ปรารภว่าพ่อแม่ชนิดไหนกันที่ปกป้องลูกไว้ไม่ได้ และการกระทำของตัวละครก็ทำให้เห็นชัดเจนในเรื่องนี้
หนังมีตอนจบที่ลงตัวและตัดฉับโดยไม่อ้อยอิ่งหรือเยิ่นเย้อ
แสงแห่งความหวังเรืองรองขึ้นสำหรับความอยู่รอดของมนุษยชาติที่จะต่อสู้กับมหันตภัยจากสิ่งมีชีวิตนอกโลกครั้งนี้
แต่ก็ไม่ก่อนที่จะเกิดการสูญเสียมหาศาลอันไม่มีวันเรียกกลับคืนได้…
นับเป็นหนังเขย่าขวัญ/สยองขวัญที่ทำได้ดีมากค่ะ