มุกดา สุวรรณชาติ : เลือกตั้งบัตรใบเดียว ยิงนกสองตัว เพื่อไทย 206 / ปชป. 150

มุกดา สุวรรณชาติ

การเลือกตั้งครั้งนี้พรรคเก่าจะไม่ทุ่มสุดตัว 

แกนนำเขี้ยวลากดินพรรคเก่าทุกพรรคสรุปว่า ไม่มีความแน่นอน ไม่รู้อนาคตตั้งแต่การเลือกตั้งจนถึงการตั้งรัฐบาล เพราะทั้งหมดไม่ได้ขึ้นอยู่กับผลเลือกตั้งอย่างเดียว มีอำนาจอื่นมาแทรก ดังนั้น ไม่จำเป็นต้องทุ่มเท ให้คนที่อยากเป็นรัฐบาล หรือมีโอกาสเป็น แสดงบทเจ้าบุญทุ่มเอง

พรรคเก่าประเมินว่าคนกลุ่มนี้จะลดแลกแจกแถม ตั้งแต่วันนี้จนไปถึงวันเลือกตั้ง นักล่าเงินรางวัลและหัวคะแนนเตรียมรับการสนับสนุนจากพวกมือใหม่ หาเงินง่าย ไร้อุดมการณ์

พวกมีประสบการณ์ประเมินว่าเพราะการเลือกตั้งครั้งนี้ ยิ่งส่งมากมีโอกาสเก็บคะแนนสะสมมาเพิ่ม ส.ส.บัญชีรายชื่อ แม้เพียง 500-1,000 คะแนนต่อเขตก็มีความหมาย

ดังนั้น จำนวนผู้สมัครแต่ละเขตจะมีมากขึ้น แม้แต่หัวคะแนนก็อาจได้ขึ้นชั้นเป็นผู้สมัคร

พวกที่อยู่ระดับท้องถิ่น ถ้าว่างงาน ก็อาจได้โอกาสลงสนามใหญ่

พรรคที่ลงสนามจริงอาจมีเพียง 50 พรรค แต่ส่วนหนึ่งจะไม่สามารถส่งได้ทุกเขต ประเมินว่าแต่ละเขตอาจมีถึง 30 พรรค ผู้สมัคร 350 เขต จะมีประมาณ 10,000 คน คนที่เกี่ยวข้อง ในการจัดการ และหาคะแนนน่าจะมีถึง 200,000 คน ใครหาเงินง่ายก็จ่ายได้ ถ้าเงินน้อยต้องใช้ความดี, นโยบายและชื่อเสียงออกหน้า

สถานการณ์วันนี้ มือเก่าถนอมตัว เพราะมีบทเรียนพรรคสามัคคีธรรมมาแล้ว

แต่มือใหม่ก็คงไม่ยอมให้หลอกง่ายๆ เช่น จะตั้งพรรค กปปส. ถ้าเป็นคนอื่นนำ ไม่ใช่สุเทพ เทือกสุบรรณ แสดงว่าไม่มีมวลมหาประชาชนเป็นฐาน คนสนับสนุนไม่จ่ายเงิน

เมื่อ คสช. ยังยืดเกมพรรคเก่าก็เดินเกมช้าตามไปด้วย พรรคใหม่ก็ยังมีเวลาหายใจ หน้าที่เร่งการเลือกตั้งเป็นของคนหนุ่มสาวผู้มีอุดมการณ์ ซึ่งปลุกกระแสได้ผล

 

พรรคเพื่อไทย ยังมีปัญหา

1.ปัญหาใหญ่ในปัจจุบันคือยังหา…หัว…ของพรรคไม่ได้ แม้เพื่อไทยเป็นพรรคใหญ่ที่สุดและมีโอกาสได้ ส.ส. มากที่สุดในการเลือกตั้งปี 2562 นี้ แต่จนถึงวันนี้กลับไม่มีหัวนำที่มีศักยภาพในการจะนำพรรคเข้าไปต่อสู้ในสนามเลือกตั้ง

2. ต้องเข้าใจว่านี่คือการนำในสนามสู้รบ ไม่ใช่มาเป็นผู้นำในขณะที่ชนะแล้วจะมาตั้งรัฐมนตรีบริหารงานตามกระทรวงต่างๆ การตั้งแม่ทัพที่จะออกรบ ต้องรบเป็น ต้องคิดเป็น บริหารการเลือกตั้งเป็น ปะทะคารมกับคู่แข่งได้ทุกเวที ซึ่งในสถานการณ์ปัจจุบันไม่สามารถมีผู้ชี้นำการเมืองซึ่งเป็นคนนอกพรรคมาช่วยเหลืออะไรได้ เพราะจะผิดกฎหมาย มีโทษถึงยุบพรรค

3. นอกจากประชาชนแล้ว ไม่มีกองหนุนอื่น การแสวงหามิตรพรรคอื่นยังจำเป็น ข้างนอกยังมี ส.ว. ซึ่งไม่มีทางหนุนพรรคเพื่อไทยเลยแม้แต่เสียงเดียว องค์กรอิสระทั้งหมดก็เฝ้าคุมเชิง อำนาจนอกระบบก็เป็นกำลังฝ่ายตรงข้าม ดังนั้น โอกาสการเป็นรัฐบาลจึงมีน้อยมาก มีแต่โอกาสเป็นฝ่ายค้าน ซึ่งต้องมีเสียงมากพอควร จึงจะมีความหมายในการต่อกรกับรัฐบาลผสม หมายความว่าเพื่อไทยจะต้องส่ง ส.ส.ทั้ง 350 เขตทำคะแนนให้ได้มากเพื่อให้ได้ ส.ส. มากที่สุด

4. เมื่อไม่ได้เป็นรัฐบาล ก็ต้องแก้เกม แก้ปัญหา ส.ส.เก่าซึ่งจะถูกดึงตัวให้ย้ายไปหนุนฝ่ายตรงข้าม หรืออาจแยกเป็นอิสระ ในเชิงอุดมการณ์และความสามัคคีในพรรคจะต้องทำให้แน่นที่สุด

 

ยุทธศาสตร์ตัวเลข ส.ส. ของเพื่อไทย และ ปชป.

ในทางยุทธศาสตร์ของพรรคเพื่อไทย ถ้าการเลือกตั้งครั้งนี้ได้ ส.ส. ออกมาน้อยมาก ต่ำกว่า 180 ถือว่าน้อยมาก จะมีผลต่อการเดินเกมทางการเมือง

ฝ่ายตรงข้ามจะใช้ความได้เปรียบในการเป็นรัฐบาลและการมีองค์กรต่างๆ เข้ารุกไล่จนหาทางถอยไม่เจอ

แต่ถ้าหากว่าได้ ส.ส. จำนวนมากเกิน 220 หรือหาแนวร่วมพรรคอื่นมาร่วม แม้ได้ไม่เกิน 250 แต่ยิ่งมีฝ่ายค้านมาก ยิ่งเป็นอำนาจต่อรอง กดดันรัฐบาลที่ต้องใช้เสียงในสภาผู้แทนฯ เกินครึ่งคือ 250 คน

ตัวเลข 200-250 จึงมีความสำคัญ

มาดูตัวเลขการเลือกตั้งในปี 2554 ปีนั้นมีการเลือกตั้งโดยใช้บัตร 2 ใบ แบบแบ่งเขตมี 375 เขต และระบบบัญชีรายชื่อมี 125 คน รวมแล้วก็มี ส.ส. 500 คน ผลการเลือกตั้งปรากฏว่า

พรรคเพื่อไทยชนะ 204 เขต ได้ ส.ส.บัญชีรายชื่อ 61 คน รวม 265 คน มีคะแนนเสียง 15.7 ล้าน คิดเป็นเปอร์เซ็นต์ 48.4% ของผู้มาลงคะแนน

พรรค ปชป. ชนะ 115 เขต ได้ ส.ส.บัญชีรายชื่อ 44 คน รวม 159 คน คะแนนเสียง 11.4 ล้าน คิดเป็น 35.1%

พรรคภูมิใจไทยชนะเลือกตั้ง 29 เขต ได้ ส.ส.บัญชีรายชื่อ 5 คน รวม 34 คน มีคะแนน 1.28 ล้าน คิดเป็น 3.94%

ถ้านำสถิติเดิมมาใช้ในการเลือกตั้งปี 2562 สิ่งที่จะเปลี่ยนแปลงก็คือจำนวนผู้เลือกตั้ง

ในปี 2554 ผู้มีสิทธิเลือกตั้งประมาณ 47 ล้านคน มาลงคะแนน 75% แต่ตัวเลขในปี 2559 แจ้งว่าประชากรผู้มีสิทธิเลือกตั้งมีประมาณ 50.5 ล้านคน จึงประเมินว่าถึงปี 2562 ผู้มีสิทธิเลือกตั้งน่าจะอยู่ที่ประมาณ 52 ล้านคน

ถ้าผู้มีสิทธิเลือกตั้งมาใช้สิทธิระดับปานกลางค่อนข้างสูงคือประมาณ 70% ก็จะตกอยู่ที่ 36.4 ล้านคน

 

โอกาสได้ ส.ส. สูงสุดของเพื่อไทยคือ 242 ปชป. คือ 175

กองเชียร์เพื่อไทยวิเคราะห์ว่า พรรคเพื่อไทยในปี 2562 ไม่น่าจะเปลี่ยนแปลงมาก เพราะช่วงแรกของการเลือกตั้งปี 2554 นายกฯ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เป็นแคนดิเดตที่ไม่มีใครรู้จัก มาตามกระแสพรรคและก็ไหลไปตามกระแสการเลือกตั้งกระแสสีเสื้อจนชนะการเลือกตั้ง ซึ่งครั้งนั้นคนคุมอำนาจรัฐก็เป็นฝ่ายตรงข้าม คือ ปชป. เพื่อไทยยังยันไว้ได้

แม้ต่อมา นายกฯ ยิ่งลักษณ์ เป็นที่นิยมชมชอบ แต่ก็ถูกกำจัดออกไปจากการแข่งขัน มาถึงวันนี้นายกฯ ยิ่งลักษณ์ไม่อยู่แล้ว มาช่วยเดินหาเสียงก็ไม่ได้ กระแสความนิยมลดลงแต่กระแสความเห็นใจก็ยังมีอยู่ และอาจมีการล้างแค้นผ่านหีบบัตร

เพราะฉะนั้น หักลบกันแล้วไม่น่าจะมีการเปลี่ยนแปลงมาก พวกเขาจึงคาดว่าคะแนนของพรรคเพื่อไทยจะไม่เปลี่ยนแปลง จะอยู่ที่เดิมประมาณ 48%

ส่วนกองเชียร์ ปชป. ก็มองว่า ถ้ายังมีอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นหัว…จะเหมือนเดิมทุกอย่าง และถ้าไม่มีแกนนำของพรรค ปชป. ออกไปตั้งพรรค กปปส. แข่ง คะแนนก็น่าจะเท่าเดิมคือประมาณ 35%

ถ้าเป็นแบบนี้ จำนวน ส.ส. ของเพื่อไทยตามระบบใหม่ก็คือ 48% ของจำนวน ส.ส. ทั้งสภา (500 คน) ก็คือ 242 คน ปชป. 35% จะได้ 175 คน สองพรรคนี้รวมกันก็ 417 คนเข้าไปแล้ว เหลือให้พรรคอื่นๆ แย่งกันเพียงแค่ 83 คน

แต่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่มองว่าการเลือกตั้งแบบบัตรใบเดียวในปี 2562 จะมีผลให้คะแนนของสองพรรคใหญ่ถูกแย่งชิงไป เพราะมีการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองเป็น 3 ก๊ก ครั้งนี้มีกลุ่มหนุน คสช. เข้ามาแย่งชิงคะแนนเลือกตั้งด้วย เกมใต้ดินเหนือดิน นอกระบบในระบบจะทำให้พรรคเล็กที่มีแรงหนุนดี สามารถช่วงชิงคะแนนได้

 

สถานการณ์ใหม่และการเลือกแบบใหม่

เพื่อไทยจะได้ 206 ปชป. ได้ 150

สองพรรคใหญ่คะแนนจะลดลง

1. มีคนแย่งคะแนนเยอะขึ้น เพราะผู้กุมอำนาจรัฐปัจจุบันคือ คสช. มีนโยบายที่จะสนับสนุนพรรคเกิดใหม่ ทุกคนจึงเห็นโอกาส หากว่าสามารถส่ง ส.ส. ลงตามพื้นที่เขตได้มากๆ ถ้าครบ 350 เขตก็ยิ่งดี ถ้ามีคนมาใช้สิทธิประมาณ 36 ล้านคน หมายความว่า พรรคจะได้ ส.ส. หนึ่งคนจะต้องได้คะแนนประมาณ 72,000 คะแนน

หลายคนคิดว่าการหาคะแนน 72,000 จากทั่วประเทศก็ไม่น่ายากถ้าแต่ละเขตทำได้ 1,000 คะแนน 72 เขตก็ได้ 72,000 แล้ว (ถ้าไม่มีความสามารถจริง แค่ 500 คะแนนต่อเขตก็ทำไม่ได้)

ดังนั้น ถ้าตั้งพรรคแล้วมีคนนิยมชมชอบ มีแกนนำพรรคที่มีชื่อเสียง มีนโยบายดี มีกำลังขับเคลื่อนได้ ส่งเสบียงได้ พูดได้ดี ก็น่าจะสามารถต่อสู้ช่วงชิง ส.ส. ได้ 10-20 คนโดยเฉพาะบางท้องถิ่น

คนตั้งพรรคใหม่มองแนวโน้มแล้วว่ารัฐบาลครั้งหน้าจะต้องเป็นรัฐบาลผสม และเป็นไปได้มากที่จะมีนายกฯ คนนอก

2. จากระบบการเลือกตั้งแบบบัตรใบเดียวให้เลือก ส.ส.เขตและนำมาใช้คิดคะแนนทั้ง ส.ส.เขตและ ส.ส.บัญชีรายชื่อจะมีผลให้พรรคใหญ่ไม่สามารถ…ดึงคะแนนข้ามพรรค…หรือสร้างคะแนนจากนโยบายที่ผู้เลือกตั้งชอบได้ สมมุติจังหวัดสุพรรณบุรี คนในถิ่นผูกพันอยู่กับคุณบรรหาร แม้จะนิยม 30 บาทรักษาทุกโรค แต่ไม่มีบัตรอีกใบให้ลงคะแนน ดังนั้น เพื่อไทยที่เคยได้คะแนนแถมจากสุพรรณบุรีก็จะไม่ได้แล้ว เหตุการณ์แบบนี้จะเกิดขึ้นในหลายท้องถิ่น เช่น ชลบุรี สุโขทัย เมื่อเป็นแบบนี้คะแนนของบุคคลจะมีอิทธิพลอยู่เหนือกว่าคะแนนพรรค เพราะแต่ละคนย่อมหาเสียงให้ตัวเองเป็นหลัก

3. การนำเสนอนโยบายที่จะดึงคะแนนเสียง จะไม่สามารถทำได้สะดวกเช่นเดิมเนื่องจากมีกฎหมายพรรคการเมืองกำหนดกรอบไว้ และยังมีกรรมการยุทธศาสตร์คุมไว้อีกชั้นหนึ่ง

4. อาจมีการแบ่งคะแนนให้พรรคใหม่ในเขตที่รู้ว่าคนที่ตนเองเชียร์แพ้แน่ๆ

 

จำนวน ส.ส. 206 และ 150 มาจากไหน

เนื่องจากระบบจัดสรรปันส่วนผสมกำหนดให้จำนวน ส.ส. ของแต่ละพรรคจะมีได้ไม่เกินความนิยมจากคะแนนรวมทั้งประเทศ ถ้าครั้งหน้าคะแนนรวมลด จำนวน ส.ส. ต้องลด

ผู้ตั้งสมมุติฐานนี้มองว่าพรรคใหญ่จะประสบปัญหาที่มีจุดอ่อนในอดีต เกิดการแตกแยก มีคนออกไป ถูกดึงตัวแกนนำ หรือเกิดปัญหาอื่นๆ หลายอย่าง จึงเป็นไปได้ว่าคะแนนอาจจะลดจากเดิมประมาณ 15% ดังนั้น…

พรรคเพื่อไทย จากเดิมที่เคยได้คะแนน 48% ก็จะเหลือเพียง 41% จึงจะมีสิทธิได้ ส.ส. รวม 41% ของทั้งสภาผู้แทนฯ (500) คือ 206 คน

ส่วนพรรค ปชป. จะได้คะแนนจาก 35% เหลือประมาณ 30% จึงจะมีสิทธิได้ ส.ส. รวม 30% ของ 500 คนคือ 150 คน

แต่ถ้าคิดจากการที่มีผู้มาใช้สิทธิที่เพิ่มขึ้นสูงถึง 36.4 ล้านคน พรรคเพื่อไทยก็จะได้คะแนนเกือบ 15 ล้าน และพรรค ปชป. จะได้คะแนนเกือบ 11 ล้าน ก็ยังมีคะแนนสูงมาก

ประเมิน ส.ส.เขต เมื่อลดเขตเลือกตั้ง และการเมืองเปลี่ยนเป็น 3 ก๊ก

ในการเลือกตั้ง ส.ส.เขตซึ่งลดจาก 375 เขตเหลือ 350 เขต ถ้ายังรักษาเขตเดิมไว้ได้ ตามสัดส่วนเดิมคือเพื่อไทยได้ชนะ 54% จาก 350 เขตก็จะชนะ 189 เขต ส่วน ปชป. ซึ่งเคยชนะ 30% ก็จะชนะ 105 เขต แต่ถ้าคิดตามความจริงว่า เมื่อคะแนนนิยมตกลง คะแนนในเขตที่เคยชนะแบบสูสีก็อาจจะถูกพรรคอื่นมาแย่งชิงไป และการที่มีแกนนำบางกลุ่มแยกไปทำพรรคใหม่

ดังนั้น จำนวน ส.ส.เขตจึงจะลดมากกว่าจำนวนเขตที่ลดลง

เป็นไปได้ที่พรรคใหญ่จะต้องมีเขตแพ้เพิ่มขึ้นอีก 10% หมายความว่าจำนวน ส.ส.เขตของเพื่อไทยอาจจะเหลือเพียง 170 คน และ ปชป. อาจจะเหลือ 95 คน

วิธีคิดจำนวน ส.ส.บัญชีรายชื่อ

เมื่อเพื่อไทยสามารถมี ส.ส. ได้ถึง 206 คน ตามคะแนนรวมทั้งประเทศ 41% ดังนั้น เพื่อไทยจะได้รับ ส.ส.บัญชีรายชื่อเพิ่มขึ้น 36 คน (206-170) จากคะแนนทั้งประเทศประมาณ 15 ล้าน

 

ปชป. มีสิทธิได้ ส.ส. สูงสุด 150 คน (จากคะแนนทั้งประเทศ 30%) จึงมีสิทธิได้รับโควต้า ส.ส.บัญชีรายชื่อเพิ่มขึ้นอีก 55 คน (150-95) จากคะแนนทั้งประเทศ 11 ล้าน

สรุปว่า เพื่อไทยจะได้ ส.ส.เขต 170+ส.ส.บัญชีรายชื่อ 36 = 206… ปชป. ได้เขต 95+รายชื่อ 55 = 150

สมมุติพรรคใหม่เอี่ยม ส่ง 300 เขต ได้คะแนนทั้งประเทศ 1,000,000 คะแนน ได้ ส.ส.เขตใน กทม. 1 คน จะมีที่นั่งในสภา 2.7% ของจำนวน 500 คนในสภา = 14 คน แต่ได้ ส.ส.เขตมาแล้ว 1 คน จึงจะได้ ส.ส.บัญชีรายชื่ออีก 13 คน

ในขณะเดียวกัน พรรคท้องถิ่นบางพรรคอาจได้ ส.ส.เขต 6 คน มีคะแนนรวมทั้งประเทศ 440,000 = 1.2% พรรคนี้จะมี ส.ส. ได้ 500 x 1.2% = 6 คน ดังนั้น พรรคท้องถิ่นนี้จะไม่ได้ ส.ส.บัญชีรายชื่อเลย

สรุปว่า สองพรรคใหญ่ มี ส.ส. รวมแค่ 356 คน ไม่ถึงครึ่งของรัฐสภา ต่อให้เปลี่ยนใจมารักกัน ก็ไม่ถึง 375 เสียง ตั้งรัฐบาลไม่ได้

พรรคใหม่ถ้าไม่มีฐานเดิมทำคะแนนได้ไม่ถึงล้าน ก็จะมีเสียงเพียง 1-2% ของสภาเท่านั้น

นายกฯ คนนอกมีโอกาสเกิดได้แล้ว รีบเลือกตั้งเลย

การประเมินล่วงหน้า 1 ปีครั้งนี้ มีสมมุติฐานที่ว่า ส.ส.เก่าที่ตั้งพรรคใหม่ก็เขี้ยวยาว พรรคเก่าก็ฉลาด คสช. รู้จักใช้อำนาจ การเกิดพรรคประชาชาติของวาห์ดะเป็นจริง กปปส. สายสุเทพ ไม่ทิ้ง ปชป. พรรคอนาคตใหม่ ขอเกิดได้สำเร็จ