ภาพยนตร์/นพมาส แววหงส์/EARTH : ONE AMAZING DAY ‘ดาวสีครามดวงน้อย’

นพมาส แววหงส์

ภาพยนตร์
นพมาส แววหงส์

EARTH : ONE AMAZING DAY

‘ดาวสีครามดวงน้อย’

กำกับการแสดง Richard Dale และ Lixin Fan
เสียงบรรยาย Robert Redford

Earth : One Amazing Day เป็นหนังสารคดีของบีบีซี ภาคสองต่อจาก Earth ที่ประสบความสำเร็จยิ่งและโด่งดังจากปี ค.ศ.2007 ซึ่งมีแพทริก สจ็วต (“โปรเฟสเซอร์เอ็กซ์” ในหนังชุด The X-Men) ให้เสียงบรรยายในหนังที่ฉายในคนอังกฤษ และเจมส์ เอิร์ล โจนส์ (ดาราผิวดำเสียงหล่อ ที่ให้เสียง “ดาร์ธ เวเดอร์” ในหนังชุด Star Wars) ในหนังที่ฉายในอเมริกา
ส่วนหนังภาคต่อมานี้ ใช้โรเบิร์ต เรดฟอร์ด พระเอกผมทองรูปงามในอดีต เจ้าของบทบาท “ซันแดนซ์คิด” ใน Butch Casssidy and the Sundance Kid ที่กลายมาเป็นผู้ก่อตั้งเทศกาลซันแดนซ์ ที่เป็นคุณูปการยิ่งใหญ่ให้โอกาสแก่คนทำหนังนอกกระแสที่จะมีพื้นที่ยืนและเผยแพร่แก่สายตาสาธารณะ
เป็นที่รู้กันว่าโรเบิร์ต เรดฟอร์ด เป็นคนรักธรรมชาติอย่างที่สุดคนหนึ่ง ภาพลักษณ์ของเรดฟอร์ดจึงส่งเสริมเนื้อหาของหนังเรื่องนี้อย่างยิ่ง
เฉินหลง หรือ แจ๊กกี้ ชาน ก็มีเครดิตจากหนังเรื่องนี้ในฐานะผู้ให้เสียงบรรยายในภาคภาษาจีนกลางด้วยอีกคน
ข้อใหญ่ใจความที่สร้างข้อแตกต่างระหว่างภาคแรกและภาคสองคือ ภาคแรกเดินเรื่องภายในเวลาหนึ่งปีปฏิทิน โดยเริ่มจากเดือนมกราคมไปจบลงที่เดือนธันวาคมของปีเดียวกันโดยติดตามสัตว์สามชนิดเป็นหลัก คือหมีขั้วโลก ช้างป่าแอฟริกาและวาฬหลังค่อม
ส่วนภาคสองเดินเรื่องภายในกรอบเวลาหนึ่งวัน หรือยี่สิบสี่ชั่วโมง โดยเริ่มจากพระอาทิตย์ทอแสงอันอบอุ่นและให้พลังงานปลุกสัตว์โลกให้ตื่นขึ้นจากหลับใหล โคจรสูงขึ้นฟ้าไปเรื่อยๆ จวบจนลับหายจากขอบฟ้า ทิ้งให้โลกอยู่ในความมืดมิดของยามราตรี
โดยแสดงให้เห็นสัตว์โลกนานาชนิดบนดินแดนต่างๆ ในโลกที่ได้รับอิทธิพลจากพลังงานความร้อนและแสงสว่างของดวงอาทิตย์

หนังเริ่มด้วยการกล่าวถึงความน่าทึ่งของดาวเคราะห์ที่เรียกว่า “โลก” นี้ ดาวสีครามดวงน้อยลอยอยู่ท่ามกลางดาวนับล้านๆ ดวงในจักรวาลอันกว้างใหญ่ไพศาลพันลึกที่ดูจะแผ่ออกไปไม่มีที่สิ้นสุด
ความพิเศษอย่างยิ่งของโลกคือดูเหมือนเป็นดาวเล็กๆ ดวงเดียวที่มีสภาพบรรยากาศเหมาะสมที่ก่อให้เกิดสิ่งมีชีวิตนานาสารพันที่ต่อสู้เพื่อความอยู่รอดอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันของระยะเวลาบนโลก…สั้นบ้างยาวบ้างแล้วแต่ประเภทของสัตว์โลกเหล่านั้น
ภายในเวลาราว 90 นาที หรือ 24 ชั่วโมงจากเรื่องราวต่างๆ หนังพาเราไปสู่ดินแดนต่างๆ ทั่วโลก ทั้งภูเขาสูง ขั้วโลกอันหนาวเย็น เกาะเล็กๆ อันห่างไกลในมหาสมุทรกว้าง ป่าดงดิบ และใต้ลำน้ำและใต้ท้องทะเลสีคราม ด้วยการถ่ายทำและตัดต่ออย่างพิถีพิถันทุกช็อตทุกบททุกตอนด้วยความน่าตื่นตาตื่นใจ และการเล่าเรื่องที่ตรึงตราน่าประทับใจ โดยมีอารมณ์ขันและความน่ารักน่าเอ็นดูของสัตว์ต่างๆ สอดแทรกอยู่ประปราย
ชีวิตบนโลกมีทั้งความสวยงามและความโหดร้ายแฝงอยู่เสมอ การต่อสู้เพื่อความอยู่รอดทุกเมื่อเชื่อวันเป็นเนื้อหาหลักของหนัง
บนเกาะกาลาปากอสอันห่างไกลในมหาสมุทรแปซิฟิก ลูกอิกัวนาที่เพิ่งฟักตัวออกจากไข่ที่ฝังอยู่ในพื้นทราย ค่อยๆ โผล่ขึ้นสู่แสงสว่างโดยอาศัยพลังงานความร้อนจากดวงอาทิตย์เป็นเครื่องชูกำลัง โดยมีฝูงงูนับสิบเฝ้ารออยู่เพื่อจับเขมือบเสีย
การไล่ล่านี้ดำเนินไปอย่างชวนระทึกใจ ลูกอิกัวนาบางตัวก็วิ่งเร็วหนีงูที่เลื้อยตามฉกขึ้นสู่โขดหินสูงที่ซึ่งงูเลื้อยขึ้นไปไม่ได้ บางตัวที่ยังรับพลังจากแสงอาทิตย์ไม่พอให้วิ่งหนีทัน ก็โดนงาบไป ทั้งๆ ที่เพิ่งออกจากไข่มามีชีวิตได้เพียงชั่วไม่กี่อึดใจ
…การอยู่รอดของสัตว์ที่เก่งที่สุด…
ลูกม้าลายที่คลอดจากท้องแม่เพียงไม่กี่ชั่วโมง ต้องตะเกียกตะกายวิ่งตามฝูงไป และเมื่อฝูงเดินข้ามแม่น้ำที่เชี่ยวกราก มีลูกม้าลายบางตัวที่ยังไม่แข็งแรงพอจะสู้พลังกระแสน้ำได้ โดนน้ำพัดพาไหลไป ขณะที่แม่ม้าลายส่งเสียงร้องให้กำลังใจหรือสอนวิธีให้พาตัวขึ้นจากน้ำ
…น่ารักเหลือเกินค่ะ

หนังไม่ลืมจะให้เราเห็นสัตว์โลกน่ารักสองชนิดในใจของคนทั้งหลาย คือ แพนด้า และเพนกวิน
โดยให้เราเห็นแพนด้าที่วันๆ ไม่ทำอะไรนอกจากกัดเคี้ยวลำไผ่กร้วมๆ โดยบรรยายว่าไผ่ไม่มีสารอาหารมากนัก ดังนั้นแพนดาจึงต้องอาศัยปริมาณโดยเคี้ยวกินทั้งวัน
เรื่องราวของฝูงเพนกวินในบริเวณที่มีเพนกวินอาศัยอยู่มากที่สุดถึงหนึ่งล้านห้าแสนตัว เป็นช่วงที่เราคอยลุ้นและเอาใจช่วยอย่างที่สุด
คลื่นลมที่ซัดซ่าใส่โขดหินบนฝั่งทำให้ฝูงเพนกวินที่กำลังจะออกหาอาหารมาเลี้ยงปากเลี้ยงท้องของครอบครัวในแต่ละวัน ต้องตะเกียกตะกายต่อสู้อย่างหนักเพื่อออกทะเล
นิคมเพนกวินบนฝั่งที่อยู่ร่วมกันแน่นขนัดสุดลูกหูลูกตา มีเพนกวินตัวเมียและลูกน้อยคอยหัวหน้าครอบครัวที่ออกไปหาปลาหาอาหารจากท้องทะเลลึก บางตัวต้องว่ายน้ำไกลฝั่งออกไปหลายสิบไมล์ในแต่ละวัน
และเมื่อเขมือบปลาไว้เต็มท้องแล้ว ก็ว่ายน้ำกลับขึ้นฝั่ง ด้วยสัญชาตญาณอะไรก็ไม่ทราบที่ทำให้กลับไปหาลูกเมียของตนเจอได้ท่ามกลางเพนกวินนับล้านตัวที่คลาคล่ำสุดลูกหูลูกตาอยู่บนชายหาด
…เป็นอีกตอนที่น่าซาบซึ้งเหลือเกินค่ะ

ตอนที่ดูแปลกตาแบบที่ชีวิตนี้จะไม่ได้มีโอกาสเห็น ถ้าไม่มีหนังสารคดีดีๆ อย่างนี้ คือตัวสลอธ ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นสัตว์ที่เกียจคร้านที่สุดในโลก วันๆ แทบไม่ขยับเขยื้อนเคลื่อนไหว เอาแต่นอนขี้เกียจอยู่บนกิ่งไม้
แต่หนังจับภาพของสลอธที่ตะเกียกตะกายว่ายน้ำไปหาตัวเมียที่ได้ยินเสียงเรียกลอยลมมาไกลๆ เพื่อหาคู่และผสมพันธุ์ เพียงเพื่อจะได้พบว่าตัวเมียที่ส่งเสียงตัวนั้นกำลังเป็นแม่ลูกอ่อนและไม่ได้นึกอยากจะมีคู่ใหม่เลย
ภาพใต้น้ำที่ถ่ายให้เห็นฝูงวาฬสเปิร์มยามหลับ โดยนอนตัวตั้งตรงในแนวดิ่งอยู่นับสิบๆ ตัว ก็เป็นภาพที่ไม่มีทางได้เห็นด้วยตาตัวเองในธรรมชาติ
อีกตอนที่เรียกรอยยิ้มได้ แม้ว่าออกจะดุร้ายอยู่สักหน่อย คือเมื่อยีราฟคอยาวสองตัวสู้กันเพื่อแย่งชิงความเป็นใหญ่
ยีราฟใช้คอยาวๆ ของตนเป็นอาวุธฟาดฟันกันและกัน โดยเหวี่ยงคอเข้าใส่กันอย่างแรง ขนาดทำให้เจ็บและล้มลง และหนังยังเล่าถึงผลการต่อสู้เพลี่ยงพล้ำของยีราฟหนุ่มที่มีพละกำลังมากกว่ากับยีราฟแก่ที่เจนโลกมากกว่าสองตัวนี้ด้วยอารมณ์ขันน่ารักอีกด้วย
เรื่องของม้าลายยังมีอีกตอน ในยามที่ลูกม้าลายตกเป็นเหยื่อที่ถูกล่าของเสือนักล่า ตอนนี้ก็น่าจับใจด้วยความรักของแม่ม้าลายที่คอยปกป้องลูกน้อยอย่างไม่เกรงกลัวสัตว์ที่ดุร้ายกว่าและไม่คิดถึงชีวิตตนที่ต้องเสี่ยงภัยสู้เพื่อลูก
เมื่อล่วงเข้าสู่ความมืดยามราตรี หนังพาเราไปดูหนอนเรืองแสงในนิวซีแลนด์ ที่ส่งแสงระยิบระยับเรืองรองในความมืด ขณะเดียวกันก็มีการระวังภยันตรายแก่ตัวโดยมีการดักแมลงอื่นไปในตัวด้วย

และแล้วหนังก็จบลงขณะที่ดาวโลกมืดมิดจากแสงอาทิตย์ แต่กลับสว่างไสวระยิบระยับไปทั้งดวงด้วยแสงไฟจากอารยธรรม
มนุษย์ก็เป็นสิ่งมหัศจรรย์ที่สร้างสรรค์ความเปลี่ยนแปลงไปจากพลังธรรมชาติ และหนังลงจบด้วยถ้อยคำเตือนสติเราว่า…
…อนาคตของโลกอยู่ในมือมนุษย์เรานี่เอง