มนัส สัตยารักษ์ : ถอนฟ้อง

วันที่ 10 สิงหาคม 2543 ศาลรัฐธรรมนูญได้มีคำวินิจฉัยเป็นเอกฉันท์ว่า “เสธ.หนั่น” พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์ (อดีตรัฐมนตรีกระทรวงมหาดไทย) มีความผิดฐานจงใจแสดงบัญชีทรัพย์สินอันเป็นเท็จ ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2540 มาตรา 295 ถูกตัดสิทธิทางการเมืองเป็นเวลา 5 ปี

วันนั้นผมและ “รองสล้าง” พล.ต.อ.สล้าง บุนนาค กำลังทำเยี่ยมเยียนเพื่อนเก่าอยู่ในเมืองหาดใหญ่ จ.สงขลา รองสล้างบอกผมสั้นๆ ว่ามีคนโทร.มาบอกข่าวการวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญดังกล่าวข้างต้น

พรรคพวกของเราที่หาดใหญ่ต่างแสดงความยินดีกับ “ข่าวดี” ชิ้นนี้

แต่รองสล้างกลับเงียบเฉย ชวนคุยเรื่องอื่นไปตามปกติราวกับไม่ใช่ข่าวสำคัญ

วันรุ่งขึ้นเรา -ผมและรองสล้าง- บินกลับกรุงเทพฯ

หนังสือพิมพ์รายวันทุกฉบับบนเครื่องบินพาดหัวตัวยักษ์ “มติ 9 ต่อ 0” ของศาลรัฐธรรมนูญตัดสิทธิทางการเมืองเสธ.หนั่น เป็นเวลา 5 ปี ฐานจงใจแสดงบัญชีทรัพย์สินอันเป็นเท็จ

“ผมคิดว่าจะถอนฟ้องเสธ.หนั่น” รองสล้างกล่าวกับผมขณะเป็นประโยคแรกเมื่อเห็นพาดหัวข่าวนั้น

“เรื่องอะไรจะถอน…” ผมไม่เห็นด้วย “เสธ.หนั่นเขายังอยากจะเล่นงานรองถึงตายอยู่นะ”

“ผมไม่ชอบเหยียบคนล้ม ผมเห็นใจเสธ.หนั่น” รองสล้างตอบ

เรื่องของการให้อภัยและแอ่นอกรับผิดชอบ เป็นลักษณะประจำตัวของงรองสล้างมาแต่ไหนแต่ไร

เมื่อครั้งที่ยังเป็นรองผู้กำกับการ 2 กองปราบปราม การเดินทางโดยรถยนต์ของรองสล้างครั้งหนึ่งเกิดอุบัติเหตุเฉี่ยวชนกับรถบรรทุก เป็นเหตุให้ “คุณเหมี่ยว” สุพรรณวดี บุนนาค ภรรยาของรองสล้างเสียชีวิต ในขณะที่ตัวรองสล้างเองได้รับบาดเจ็บสาหัส กระดูกขาและเข่าแตก ส่วนคนขับรถบรรทุกได้หลบหนีไป

รองสล้างให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนที่โรงพยาบาลในวันถัดมาว่า พนักงานขับรถยนต์ของท่านมีส่วนผิด ขอให้คนขับรถบรรทุกมาพบตำรวจ อย่าหลบหนีเพราะจะทำให้ครอบครัวได้รับความเดือดร้อนลำบาก

ยังเป็นห่วงครอบครัวของของคนขับรถบรรทุก ทั้งๆ ที่ตนเองต้องสูญเสียภรรยาสุดที่รักไปอย่างไม่มีวันกลับ และบุตร 3 คนต้องกลายเป็นเด็กกำพร้าแม่มาตั้งแต่ยังเล็ก

ย้อนกลับไปรำลึกถึงมูลเหตุของวิวาทะและการฟ้องร้องกันไป-มา ระหว่างเสธ.หนั่น กับรองสล้าง

ได้มีเพื่อนทนายความและน้องๆ ตำรวจกลุ่มหนึ่งเก็บรายละเอียดของเหตุการณ์ เอกสารตัวบทกฎหมายตลอดจนระเบียบข้อบังคับต่างๆ ของกรมตำรวจที่ใช้อ้างอิงในการฟ้องร้องหรือเรียกร้องความเป็นธรรม

อย่างน้อยก็อาจจะเป็นบทหนึ่งในประวัติของอดีต รอง อ.ตร. ที่พวกเขาเคารพนับถือ

ส่วนผมพยายามไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวข้องกับวิวาทะครั้งนี้ เพราะว่าโดยธรรมชาติแล้วดวงชะตาของผมไม่สมพงศ์กับนักการเมืองเท่าไรนัก และโดยส่วนตัวไม่รู้จักและไม่ชอบเสธ.หนั่น แต่ก็มีเพื่อน นรต.รุ่น 12 หลายคนที่อยู่ในทีมของเขา จึงได้แต่นั่งฟังนักกฎหมายและคนชอบการต่อสู้ทางการเมืองเขาวิพากษ์วิจารณ์และโต้เถียงกัน

และต่อมาเมื่อรองสล้างถอนฟ้องเสธ.หนั่นหมดทุกคดีแล้ว ผมก็หมดความสนใจและหมดสนุกที่จะตามหารายละเอียดของประเด็นนี้อีกต่อไป

เท่าที่ผ่านมา เหตุการณ์ก่อนหน้านี้ ผมจึงจำแบบกระท่อนกระแท่นแค่ว่า มีวิวาทะรุนแรงระหว่างรองสล้าง (ในตำแหน่ง รอง อ.ตร.) กับเสธ.หนั่น (ในฐานะเป็น มท.1) ทั้งนี้ สืบเนื่องมาจากกรณีตำรวจ “วิสามัญโจ ด่านช้าง 6 ศพ” ที่สุพรรณบุรีเป็นด้านหลัก

เสธ.หนั่นกำลังจะลงนามแต่งตั้งกรรมการสอบสวนพิจารณาโทษในความผิดร้ายแรงแก่นายตำรวจที่ร่วมปฏิบัติการวิสามัญโจ ด่านช้าง แต่รองสล้างซึ่งเป็นหัวหน้าในปฏิบัติการครั้งนี้ได้แอ่นอกขอรับผิดชอบเพียงผู้เดียว เพื่อมิให้นายตำรวจถูกพักราชการในระหว่างสอบสวน ซึ่งจะทำให้ครอบครัวลำบากและตำรวจผู้ปฏิบัติการหมดกำลังใจ

(บางข่าวก็เล่าว่า เสธ.หนั่นผูกใจเจ็บรองสล้างมาแต่ครั้งที่ถูก ร.ต.อ.บุรี อยู่ใย (พ.ต.ท.) มือขวาคนสนิทของรองสล้าง ใช้วิชายูโดสายดำจับกุมที่สนามบินดอนเมือง ในฐานะเป็นนายทหารคนสนิทของ พล.อ.ฉลาด หิรัญศิริ หัวหน้ากบฏ กับพวกรวม 5 คน)

ในที่สุดเสธ.หนั่นก็ลงนามสั่งพักราชการ พล.ต.อ.สล้าง บุนนาค รอง อ.ตร. พร้อมกันนั้นก็สั่งงดจ่ายเงินเดือนในระหว่างที่ถูกสอบสวนอีกด้วย

ฝ่ายรองสล้างได้ให้ทนายความฟ้องร้องเสธ.หนั่นในข้อหาต่างๆ ถึง 5 คดี ถ้าผมจำไม่ผิดดูเหมือนว่ารองสล้างได้เป็นฝ่ายชนะแล้ว 2 คดี

แต่ก็บอกกับผมบนเครื่องบินว่าจะถอนฟ้องทั้งหมด-ไม่เหยียบคนล้ม

วันถอนฟ้อง รองสล้างไม่เรียกลูกน้องในทีมไปด้วย และปิดข่าวไม่ให้สื่อมวลชนรู้ แต่ก็มีข่าวเล็ดลอดออกมาจนได้ว่า เสธ.หนั่นถึงแก่น้ำตาคลอด้วยความซาบซึ้งใจขณะสวมกอดรองสล้าง

ทำนองคนจริงเจอคนจริง

ส่วนตัวผมเองนั้น เมื่อ พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์ ไปในงานพระราชทานเพลิงศพ พล.ต.ต.ปรีชา ประเสริฐ (จปร.7 และ นรต.12) ซึ่งเป็นเพื่อน “ยังเติร์ก” ร่วมกบฏเมษาฮาวายมาด้วยกันกับเสธ.หนั่น นั้น ท่านมานั่งติดกับผมในแถวหลัง

ผมพลอย “ถอนฟ้อง” ลุกขึ้นทำความเคารพและเชิญท่านไปนั่งแถวหน้าสุดในฐานะเป็นอดีตรองนายกรัฐมนตรี และอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย

ผมเขียนเล่าเรื่องนี้ เพราะสังเกตเห็นระหว่างวันที่ 26 กุมภาพันธ์ ถึงวันที่ 5 มีนาคม 2561 ในพิธีรดน้ำศพและสวดพระอภิธรรม พล.ต.อ.สล้าง บุนนาค ที่วัดเทพศิรินทร์ นั้น

ผมพบว่าในหมู่คนจำนวนมากนั้น คนที่เคยขัดแย้งกันมา ฟาดฟันกันมา ไม่ว่าจะในยุทธจักรสีกากี สีแดง สีเหลือง หรือหลากสีก็ตาม หลายต่อหลายท่านต่างเดินมาปะหน้ากัน นั่งใกล้กัน และเผชิญหน้ากันอย่างหนีไม่พ้น

บ้านเมืองจะสงบและเดินหน้าไปได้ ถ้าใจนักเลงและรู้จัก “ถอนฟ้อง” กันบ้าง