ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 23 - 29 มีนาคม 2561 |
---|---|
คอลัมน์ | ศัลยา ประชาชาติ |
เผยแพร่ |
เพลานี้คงปฏิเสธกระแสความแรงของแม่หญิงการะเกดไปไม่ได้อีกแล้ว อีกทั้งยังเพิ่มดีกรีขึ้นเรื่อยๆ เรตติ้งคนดูที่ดีวันดีคืน บวกกับกระแสบนโซเชียลมีเดียที่สะพัดไปทั่วประเทศ
ความแรงของ “บุพเพสันนิวาส” เสมือนปลดล็อกให้ช่อง 3 กลับมาหายใจได้ทั่วท้อง สะท้อนจากเม็ดเงินโฆษณาของละครหลังข่าวที่แน่นเอี๊ยด ไม่มีที่ว่างให้กับคนมาทีหลัง จากก่อนหน้านี้ต้องตกอยู่ในภาวะชะงักงัน
กลายเป็นว่าวันนี้ช่อง 3 มีเรตติ้งสูสีกับเจ้าตลาดอย่างช่อง 7
ที่ผ่านมาเป็นที่รับรู้กันดีว่า แม้ช่อง 3 จะเป็นเบอร์ 2 ของตลาด แต่ถูกช่อง 7 ทิ้งห่างพอสมควร ขณะที่เบอร์ 3 และเบอร์ 4 ไล่เก็บฐานคนดู แบบหายใจรดต้นคอ
กระทั่งผลประกอบการล่าสุด ปี 2560 ที่ผ่านมา ผลกำไรของบีอีซีก็ลดเหลือเพียง 61 ล้านบาทเท่านั้น
“ภวัต เรืองเดชวรชัย” ผู้อำนวยการธุรกิจ สายงานการวางแผนและกลยุทธ์สื่อโฆษณา บริษัท มีเดีย อินเทลลิเจนซ์ จำกัด กล่าวว่า กระแสละครบุพเพสันนิวาส ทำให้ยอดจองโฆษณาช่วงไพรม์ไทม์ ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่คนดูสูงสุดในคืนวันพุธและพฤหัสบดีที่ละครเรื่องนี้ออนแอร์กลับมาเต็มอีกครั้ง
แรงส่งจากบุพเพสันนิวาส ทำให้ละครของช่อง 3 เรื่องอื่นๆ ดีวันดีคืนไปด้วย โดยเรตติ้งทั่วประเทศล่าสุดเมื่อวันที่ 19 มีนาคมที่ผ่านมา “เงินปากผี” แซงหน้าละครหลังข่าวของช่อง 7 แบบขาดลอย
ขณะเดียวกัน เม็ดเงินโฆษณาของละครหลังข่าวเรื่องอื่นๆ ของช่อง 3 ก็มีแนวโน้มที่ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด แม้ก่อนหน้านี้การใช้งบฯ ผ่านสื่อทีวีของสินค้าจะลดลง ทำให้แต่ละช่องมีเวลาโฆษณาเหลืออยู่จำนวนมาก ไม่เว้นแม้แต่ช่วงไพรม์ไทม์
ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าในบรรดารายการทั้งหมด ละครหลังข่าวเสมือนบ่อเงินบ่อทอง เพราะมีราคาโฆษณาสูงสุด
เรตติ้งคนดูที่ร้อนแรงเหลือเชื่อ ละครถูกพูดถึงอย่างกว้างขวาง แม้กระทั่ง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ยังออกปากชม ดารานำทั้ง “เบลล่า-โป๊ป” ถูกแฟนๆ รุมล้อมทุกครั้งที่ปรากฏตัว
ที่ตามมาคือ ราคาหุ้นของช่อง 3 ที่ค่อยๆ ทะยานขึ้นเรื่อยๆ พีกสุดไปเกือบ 14 บาท ซึ่งหากย้อนกลับไปเมื่อวันที่ 21 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ที่บุพเพสันนิวานออนแอร์วันแรก ราคาหุ้นบีอีซีปิดอยู่ที่ 10.70 บาทต่อหุ้นเท่านั้น
เรียกว่า บุพเพสันนิวาส จุดพลุให้ช่อง 3 กลับมาปังอีกครั้งก็คงไม่ผิด
เอฟเฟ็กต์แม่หญิงการะเกดไม่เพียงฟื้นชีวิตให้ช่อง 3 อีกครั้ง แต่ยังสร้างกระแสต่อเนื่องให้แก่หลายๆ ธุรกิจ ทั้งกลุ่มสินค้าต่างๆ ที่ปิ๊งไอเดียหยิบเรื่องราวเหล่านี้ไปสร้างคอนเทนต์ต่อยอดสร้างกระแส “ออเจ้า” เพื่อเรียกไลก์ เรียกแชร์ให้คนติดตามเพจตัวเอง
แต่ที่ฮิตติดลมบนที่สุด คงเป็นกระแสการแต่งชุดไทย ซึ่งกำลังกลายเป็นไอเท็มหลักที่ร้านขายเสื้อผ้าต่างๆ ทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัดต้องมีขาย เพื่อรองรับความต้องการที่เพิ่มขึ้น รวมถึงร้านเช่าชุดไทยที่เรียกว่าขายดิบขายดี มีรายได้เป็นกอบเป็นกำ
ตามด้วยทัวร์ย้อนอดีต โดยเฉพาะจังหวัดพระนครศรีอยุธยาที่เรียกว่าได้รับอานิสงส์นี้แบบเต็มๆ
“อิสสระพงษ์ แทนศิริ” ผู้อำนวยการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สำนักงานพระนครศรีอยุธยา บอกว่า จากกระแสละครที่เกิดขึ้นทำให้นักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามาเที่ยวที่อยุธยามากขึ้น และคาดว่ากระแสดังกล่าวจะส่งผลต่อเนื่องไปถึงปี 2562 เนื่องจากมีหลายหน่วยงาน หลายค่าย ที่เข้ามาถ่ายทำละครที่อยุธยา
พร้อมตั้งเป้าหมายว่ารายได้จากการท่องเที่ยวปีนี้จะโต 8-10% จากปีก่อนที่มีรายได้อยู่ที่ 15,605 ล้านบาท
แน่นอนว่าเวลานี้ขุนพลช่อง 3 ไม่ได้มองแค่กระแส “ออเจ้า” ที่กำลังร้อนแรง แต่มองไปถึงโอกาสที่กำลังรออยู่
นั่นทำให้สเต็ปต่อไป ถือเป็นความท้าทายของช่อง 3 ว่าจะรักษาพื้นที่ รักษากระแสที่ถูกจุดนี้ขึ้นต่อไปได้อย่างไร เพื่อต่อยอดสร้างโอกาสใหม่ๆ ให้แก่ธุรกิจ
เพราะถ้าละครบุพเพฯ จบลง เป็นไปได้ว่ากระแสอาจจบลงด้วยเช่นกัน จะตรึงคนดู ดึงเม็ดเงินโฆษณาต่อไปอย่างไร กลายเป็นโจทย์ใหญ่ที่กำลังเกิดขึ้น
ดังนั้น สิ่งที่ช่อง 3 ตัดสินใจต่อคือ ปูพรมเรื่องดังๆ ตรึงฐานคนดูต่อเนื่อง โดยเตรียมส่งละคร “หนึ่งด้าวฟ้าเดียว” ลงจอต่อจากบุพเพสันนิวาสทันที หวังตรึงคนดูให้ฟินยาวไปด้วยละครพีเรียดฟอร์มใหญ่ต่อเนื่อง
เร่งยึดพื้นที่ เพิ่มฐานคนดูให้มากที่สุด
เมื่อยึดฐานคนดูในประเทศให้แน่นแล้ว ขณะเดียวกันก็ต้องหาโอกาสใหม่ๆ เพื่อสร้างรายได้อีกแรง
คือกลยุทธ์ของช่อง 3
หนึ่งในนั้นคือ การขยายธุรกิจขายคอนเทนต์ละครไปต่างประเทศ ซึ่งบุพเพสันนิวาส ก็เติมเชื้อไฟให้ละครช่อง 3 เป็นที่รู้จักในตลาดจีนมากขึ้น เพราะดังไกลไปถึงตลาดจีน จนมีการแปลซับไตเติล
สอดรับกับ “รณพงศ์ คำนวณทิพย์” หัวหน้าคณะผู้บริหารสายการพาณิชย์ บริษัท บีอีซี เวิลด์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า แนวทางการดำเนินธุรกิจจากนี้ไป จะให้ความสำคัญกับการขายคอนเทนต์ไปในตลาดต่างประเทศมากขึ้น
โดยกลุ่มประเทศที่ให้ความสนใจเป็นพิเศษคือ อาเซียน เนื่องจากมีความชื่นชอบในคอนเทนต์ของไทยโดยเฉพาะละครและรายการวาไรตี้ ซึ่งหลังจากบริษัทได้ทดลองนำคอนเทนต์เข้าไปทำตลาดในประเทศเพื่อนบ้าน พบว่าได้ผลตอบรับที่ดี และได้เซ็นสัญญากับบริษัท PNN TV Cambodia ในการซื้อลิขสิทธิ์ละครช่อง 3 ไปออกอากาศที่กัมพูชา
รวมถึงมีแผนที่จะนำคอนเทนต์ละครและรายการวาไรตี้เข้าไปทำตลาดในจีน เกาหลี ญี่ปุ่น กลุ่มประเทศยุโรป และอเมริกา เพื่อขยายธุรกิจในต่างประเทศและสร้างรายได้เสริมอีกทางให้แก่ช่อง 3 ด้วย
ถ้าตีเหล็กก็ต้องตีตอนร้อน
ขณะที่เป้าหมายระยะยาว ช่อง 3 แอบหวังลึกๆ ว่า “บุพเพสันนิวาส” เป็นสปริงบอร์ดสำคัญที่ส่งให้ช่อง 3 กลับมาทวงบัลลังก์เดิม
นั่นคือ การกลับมาผงาดบนธุรกิจทีวีอีกครั้ง