หนุ่มเมืองจันท์ : คิดแบบ “แหลม”

หนุ่มเมืองจันท์facebook.com/boycitychanFC

วันนี้ “แหลม” ศรีสะเกษ นครหลวงโปรโมชั่น ถือเป็นสุดยอดนักชกไทยที่โด่งดังไปทั่วโลก

วันที่เขาน็อก “โรมัน กอนซาเลซ” นักมวยที่ถือว่าเก่งที่สุดในโลกเทียบกันปอนด์ต่อปอนด์ เป็นวันที่คนไทยเฮกันทั้งประเทศ

ล่าสุดเพิ่งป้องกันแชมป์ครั้งที่ 2 ชนะคะแนน “ฮวน ฟรานซิสโก เอสตราดา”

ชัยชนะของเขาบนผืนผ้าใบว่ายิ่งใหญ่แล้ว

ชัยชนะบนเวทีชีวิตของ “แหลม” กลับยิ่งใหญ่กว่า

จาก รปภ.-คนเก็บขยะ ในอดีต

วันนี้เขาคือแชมป์โลกผู้ยิ่งใหญ่

“แบงก์” เธียรชัย พิสิฐวุฒินันท์ ลูกชายของ “เสี่ยฮุย” เจ้าของค่ายมวย “นครหลวงโปรโมชั่น” บอกว่านักมวยส่วนใหญ่เคยลำบากมาก่อน

ไม่ว่าจะเป็นนักมวยไทยหรือต่างชาติ

ถ้าสังเกตให้ดี ทุกครั้งที่นักมวยคนไหนได้แชมป์โลก ส่วนใหญ่จะร้องไห้

ทั้งที่แต่ละคนโดนชกหนักเท่าไรก็ไม่ร้องไห้

แต่ได้ “แชมป์” แล้ว “ร้องไห้”

“แบงก์” บอกว่าที่ทุกคนร้องไห้เพราะทุกคนเคยลำบากมาก่อน และรู้ว่าถ้าได้เป็นแชมป์โลกเมื่อไร

ชีวิตของเขาจะเปลี่ยน

“นักมวย” จึงต่างจากนักกีฬาประเภทอื่น

เราเห็นนักฟุตบอล นักกีฬาต่างๆ เวลาได้แชมป์ ส่วนใหญ่จะดีใจ แต่ไม่ร้องไห้

มีบางคนร้องไห้บ้าง แต่ไม่มากนัก

ไม่เหมือนกับ “นักมวย”

ได้แชมป์โลกเมื่อไร น้ำตาไหลกันทุกคน

“แบงก์” บอกว่าเข็มขัดแชมป์โลกของสภามวยโลกจะมีสีอยู่ 2 สี

คือ สีทอง และสีเขียว

“สีทอง” มีความหมายว่าราชันย์ หรือผู้ยิ่งใหญ่

ส่วน “สีเขียว” คือ สีแห่ง “ความหวัง”

เข็มขัดเส้นนี้จึงเป็น “ราชันย์แห่งความหวัง”

KING OF HOPE

“แบงก์” จบจากมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด

เวลาเขาเล่าเรื่อง “มวย” จึงแตกต่างจากที่เราเคยได้ยินมา

มีวิธีการเล่าที่ทำให้ “มวย” กลายเป็น “กีฬา” ที่เต็มไปด้วย STORY ที่น่าสนใจ

ทั้งความเป็นกีฬาและธุรกิจ

เขาเล่าว่าธุรกิจมวยแตกต่างจากธุรกิจกีฬาประเภทอื่น

“ฟุตบอล-เทนนิส-กอล์ฟ” เราจะรู้เลยว่าปีนี้จะแข่งกันกี่ทัวร์นาเมนต์

ทีมไหนหรือใครลงแข่งที่ไหนบ้าง

แต่ “มวย”…ไม่ใช่

นักมวยที่เป็น “แชมป์โลก” จะชกปีละ 2-3 ครั้ง

“แบงก์” เปรียบเทียบว่ากีฬามวยมีหลายฝ่ายมาก เหมือนแต่ละกลุ่มเป็น “ดาว” คนละดวง

“เราต้องทำให้ดาวทุกดวงมาตรงกันให้ได้”

ดาวดวงแรก คือ นักมวยของเรา ซึ่งมีทั้งตัวนักมวย เทรนเนอร์ ผู้จัดการ และบางคนมีโปรโมเตอร์ประจำด้วย

ดวงที่สอง คือ นักมวยคู่ต่อสู้ของเรา ซึ่งก็มีคนเกี่ยวข้องเยอะมากเหมือนกัน

ดวงที่สาม คือ องค์กรมวยโลกซึ่งมีหลายสถาบัน

ดวงที่สี่ คือ แฟนมวย อยากดูนักมวยคนไหนชก

ดวงที่ห้า คือ สถานีโทรทัศน์ หรือเคเบิลทีวี ซึ่งตอนนี้ HBO เป็นยักษ์ใหญ่

ตอนที่ “แหลม” ได้กลับมาชิงแชมป์โลกกับ “โรมัน กอนซาเลส” เจ้าของตำแหน่งในตอนนั้น

“แบงก์” ต้องหาช่องทางเจรจาอย่างหนัก

กับ “สภามวยโลก” ไม่มีปัญหา

แต่กับ HBO นั้นยากมาก

เพราะ “กอนซาเลส” วันนั้นถือเป็นนักมวยที่ดีที่สุดในโลก ปอนด์ต่อปอนด์

เป็น “ซูเปอร์สตาร์” ที่ชกเมื่อไร ได้เงินเมื่อนั้น

ในขณะที่ “แหลม” ยังไม่เป็นที่รู้จักของแฟนมวยชาวอเมริกันมากนัก

จนวันหนึ่ง “แบงก์” ที่ตอนนั้นเรียนอยู่มหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด เห็นชื่อวิทยากรคนหนึ่งในวิชา “สปอร์ต เมเนจเมนต์”

“ปีเตอร์ นิลสัน” ประธาน HBO

สิ่งแรกที่เขาทำ คือ ตื๊ออาจารย์ประจำวิชา ขอให้ช่วยนัด “ปีเตอร์ นิลสัน” กินกาแฟกับเขาหน่อย

ตื๊ออยู่ 2-3 ครั้ง จนอาจารย์ช่วยนัดให้

“น็อกด้วยหมัดไหน” ผมถาม

“ต้องใช้หลายหมัดเลยครับ”

“แบงก์” เริ่มเล่าว่าเขามีนักมวยอยู่คนหนึ่ง

เอ่ยชื่อ “แหลม” ไป “ปีเตอร์ นีลสัน” รู้จัก

แต่ไม่เคยดูการชกของ “แหลม”

“แบงก์” ที่ทำการบ้านมาอย่างดี ขอเปิดคลิปที่เขาตัดต่อมาแล้วให้ดูทันที

เขาไม่ได้บอกว่าถ้า “แหลม” ได้ชิงจะได้เป็นแชมป์

แต่ยืนยันเพียงว่า ถ้า “กอนซาเลส” ชกกับ “แหลม” จะเป็นคู่มวยที่สนุกมากระดับนรกแตก

และอาจเป็นคู่มวยมันที่สุดแห่งปีก็ได้

หลังจากวันนั้น เขาอีเมลไปหาประธาน HBO ทุกเดือน

โทรศัพท์คุยทุกเดือน

ใช้เวลา 1 ปี

“ดาว” ทุกดวงจึงมาบรรจบกัน

และนั่นคือ จุดเริ่มต้นความยิ่งใหญ่ของ “ศรีสะเกษ” ในวันนี้

มีเรื่องหนึ่งที่ผมชอบมาก

ไม่ค่อยมีคนรู้ว่า “แหลม” เป็นนักมวย 2 การ์ด

เขาถนัดซ้าย แต่เป็นนักมวยการ์ดขวามานาน

ชกสากลครั้งแรกที่ญี่ปุ่น ครูมวยไม่ยอมให้การ์ดซ้าย

เพราะนักมวยส่วนใหญ่การ์ดขวา

“มวยขวา” ไม่ชอบชกกับ “มวยซ้าย”

เพราะชกยาก

ถ้าการ์ดซ้าย ญี่ปุ่นไม่เอา

“ศรีสะเกษ” เลยต้องชกการ์ดขวา ทั้งที่ถนัดซ้าย

เพราะอยากได้เงิน

ชกแบบนี้มาเรื่อยๆ จนวันที่ชิงแชมป์โลกครั้งแรกกับ “โยตะ ซาโตะ” ชิงแชมป์รุ่นซูเปอร์ฟลายเวตของสภามวยโลก

ทุกครั้งที่ซ้อม หรือการ์ดมวยโชว์

“แหลม” จะการ์ดขวา

แต่พอขึ้นเวที เขาเปลี่ยนมาการ์ดซ้าย

นั่นคือ แผนที่ทีมงานวางไว้

“ซาโตะ” ที่ซ้อมชกกับนักมวยการ์ดขวามาตลอด

เจอ “การ์ดซ้าย” เข้าก็ชกไม่ออก

ไปไม่เป็น

สุดท้ายก็โดน “ศรีสะเกษ” ไล่ต้อนชนะแบบขาดลอย

ชัยชนะครั้งนั้นของ “แหลม” ส่วนหนึ่งมาจากเทคนิคการชก

แต่ที่สำคัญกว่า คือ เขามี “จินตนาการ”

“แบงก์” เล่าว่า วันที่ไปติดต่อ “ซาโตะ” ให้มาชกที่เมืองไทย เขาพา “แหลม” ไปดู “ซาโตะ” ชกด้วย

“แหลม” ดีใจที่ได้ชิงแชมป์โลก

เขาบอก “แบงก์” ว่าคืนหนึ่งเขานอนคิดว่าถ้าชนะแล้วได้แชมป์โลก ชีวิตจะเป็นอย่างไร

“แค่คิด น้ำตาก็ไหลออกมา มันตื้นตันใจมาก เรามีความหวังว่าชีวิตจะเปลี่ยนไป จะดีขึ้น”

“แบงก์” บอกว่านี่คือ “ความมุ่งมั่น” ของ “แหลม” ที่น้อยคนจะมี

“จินตนาการ” ที่เห็นว่าชีวิตดีขึ้นถ้าได้แชมป์

เป็น “พลัง” ที่ทำให้เขาสู้เต็มที่ในวันนั้น

และเมื่อเขาเป็น “แชมป์โลก”

“แหลม” ก็ใช้ “จินตนาการ” อีกรูปแบบหนึ่งในการชก

ไม่ได้คิดว่าเขาเป็น “แชมป์”

แต่เป็น “ผู้ท้าชิง”

เพราะเมื่อขึ้นเวที “เข็มขัด” จะอยู่ที่ “กรรมการ”

ไม่ได้อยู่ที่ตัวเขา

เขาและคู่ต่อสู้ต่างเป็น “ผู้ท้าชิง”

ด้วยวิธีคิดนี้เองทำให้เขาไม่หลงตัวเอง

ซ้อมเต็มที่

และสู้เต็มที่