เรื่องสั้น : แพรกับวัตถุลึกลับในย่ามของกวี (1)

1: ดวงตาของท่านนักกวี

“ก็เหมือนอย่างพ่อท่านนี่แหละ คุณงามความดีของคนเรามันไม่จำเป็นต้องดิ้นรนป่าวร้อง โฆษณาตัวเองอย่างกับเป็นสินค้า อย่างนั้นมันไม่ใช่ เพราะคุณความดีของคนมันมีรสหอม เหมือนดอกบัวในสระใหญ่ ก็ไม่ต้องไปประกาศบอกใครว่ามันหอม เพราะใครๆ ก็รู้ ผึ้งตัวไหนๆ ก็รู้ ว่าดอกบัวน่ะมันมีความหอม ชาวบ้านที่นี่ก็รู้เหมือนกัน ว่าพ่อท่านน่ะมีรสหอม มีคุณความดีที่มีรสหอม เด็กๆ ทุกคนที่ท่านให้ทุนการศึกษาในวันนี้ก็ย่อมรู้ ที่มารับโปรยทานกันทั้งหลายนี่ก็ย่อมรู้”

ท่านนักกวีกำลังพูดอยู่บนปะรำพิธีตอนแพรมาถึงที่จัดงาน เสียงพูดของท่านเนิบช้า สุภาพนุ่มนวล แพรมองซ้ายมองขวาหายุพินเพื่อนสนิทแต่ไม่พบ เห็นแต่ “พ่อท่าน” ผู้เป็นเจ้าของงานนั่งโดดเด่นเป็นสง่าอยู่บนโซฟาข้างในเต็นท์ วันนี้แพรอยู่ในชุดเสื้อยืดสีขาวแขนยาวพับเสมอศอก ทับด้วยเอี๊ยมสีฟ้าเข้มเย็นตาดูสดใส รองพื้นบางๆ ทำให้ใบหน้าที่สวยหวานอยู่แล้วยิ่งเรียบเนียนอย่างเป็นธรรมชาติ

“แต่เรื่องของคุณความดีนี่มันไม่ใช่ใครก็ทำได้”

ท่านนักกวีกล่าวต่ออย่างเนิบช้า ทิ้งจังหวะระหว่างบางประโยค ฟังดูเคร่งขรึม แต่ไม่เคร่งเครียด

“คือว่าแค่มีเงินแล้วจะทำความดีได้ก็ไม่ใช่ ตรงกันข้าม เงินต่างหากที่เป็นอุปสรรคทำให้คนหลายคนเข้าไม่ถึงความดี เข้าไม่ถึงความสุข คนบางคนนี่ทั้งชีวิตเอาแต่หาเงินงกๆๆ วิ่งวุ่นทั้งวันทำแต่เรื่องหาเงิน กลับบ้านค่ำๆ มืดๆ จะได้เห็นหน้าลูกก็ตอนลูกหลับไปแล้ว อย่างนี้ก็ไม่มีความสุข ไม่มีความพอดี

ในสายตาของกวี ก็ต้องขอตั้งข้อสงสัยว่า กระทั่งดอกไม้ใบไม้ริมทางที่สยายช่อออกเต็มต้นอย่างสวยงามก็คงไม่สามารถดึงดูดสายตาของคนพวกนี้ได้กระมัง ความละโมบโลภมากทำให้เขาไม่รู้จักความงาม ไม่รู้จักบทกวี ไม่รู้จักดนตรี กระทั่งจะหยุดนั่งฟังเสียงของสายลม ของธรรมชาติ ของจิ้งหรีดที่ขับขานอย่างไพเราะในเวลาย่ำค่ำก็คงไม่เคย

“อย่างนี้เราเรียกว่าพวกมีใจแต่ไร้ใจ รู้จักแต่ไฟ ไม่รู้จักลม”

แพรเดินเลียบเต็นท์ขนาดใหญ่ ผ่านคนหลายร้อยคนที่กำลังนั่งฟังท่านนักกวีปาฐกถา เธอเห็นป้ายุพา (แม่ของยุพิน) อยู่ในกลุ่มคน แต่ดูเหมือนป้าจะตั้งใจฟังท่านนักกวีมาก เลยไม่ทันสังเกตเห็นแพร

“บทกวีก็คือธรรมะ ธรรมะก็คือบทกวี ทั้งบทกวีและธรรมะ เป็นพลังงาน

“พลังงานนำไปสู่ความเคลื่อนไหว ความเคลื่อนไหวนำไปสู่ความเปลี่ยนแปลง ความเปลี่ยนแปลงนำไปสู่ความเจริญงอกงามของจิตใจ เมื่อคนเรามีจิตใจงาม เมื่อนั้น ทุกการกระทำจะนำไปสู่การให้ ไม่ใช่การเอา ทีนี้ยิ่งเราให้มากเท่าไร เราก็ยิ่งได้กลับมามากกว่านั้น

“ยิ่งสละ ยิ่งละทิ้ง ยิ่งได้จริง ยิ่งได้มาก”

วันนี้ท่านนักกวีรวบผมยาวสีขาวโพลนของท่านไว้ข้างหลังเป็นหางม้า หนวดเคราสีเทาเงินเป็นประกายในเปลวแดด แต่งกายง่ายๆ ด้วยกางเกงยีนส์สีซีดๆ เสื้อพื้นเมืองสีหม่น สะพายย่ามทำจากผ้าทอมือลายคลาสสิคเรียบๆ ตามสไตล์ของท่าน

“ดูอย่างเวลาที่คนจีนเขาไหว้เจ้าก็ได้ หรืออย่างเวลาเราถวายอะไรเจ้าที่เจ้าทางก็เหมือนกัน นั่นก็คือการสละละของของเราให้แก่เทพเทวาเหล่านั้น แต่การสละนั้น ก็ใช่ว่าจะต้องเสียสิ่งต่างๆ เหล่านั้นไป ตรงกันข้าม เราได้กลับคืนมาทั้งนั้นเลย ทั้งหมูต้ม ไก่ต้ม แถมยังได้ศีลได้พรจากเทพเป็นของแถมอีกด้วย

“โปรโมชั่นสุดคุ้มเลยว่าอย่างนั้นเถอะ”

ผู้ฟังหลายคนขบขัน หัวเราะเบาๆ ให้กับมุขตลกของท่านนักกวี

“นี่ก็คือยิ่งให้ แปลว่ายิ่งได้ ยิ่งสละ ยิ่งละ ยิ่งได้กลับคืน การกลับความหมายของคำว่าให้กับคำว่าได้นี่ทำให้เราต้องกลับมาคิดดูหลายๆ ครั้ง ว่าแท้ที่จริงแล้ว ความหมายของคำพูดนั้นมันเลื่อนไหลได้ และเมื่อคิดได้ดังนั้นก็ไม่ควรจะไปยึดติด ไม่ควรจะทำตัวเที่ยงตรง เถรตรงเป็นไม้บรรทัดกับเรื่องของคำพูด

“ที่พูดมานี่เพราะเคยได้ยินหลายคนกล่าวหาว่าการทำพิธีของพ่อท่านไม่ใช่พุทธ ก็เลยถามกลับว่าแล้วพุทธจริงเป็นอย่างไร เขาก็ตอบมาเป็นข้อๆ เรียงลำดับมาตามตำราเป๊ะ นั่นแหละที่เรียกว่าเถรตรงจนเป็นไม้บรรทัด เถรตรงจนไม่รู้จักแยกแยะ กลายเป็นทิฏฐิมานะ กลายเป็นพวกถือทฤษฎีเป็นบรรทัดเหล็ก ว่าพุทธแท้นี่ต้องเป็นแบบที่ฉันนิยามเอาเท่านั้น

“ซึ่งจริงๆ แล้วมันไม่ใช่”

แพรพบยุพินในหอประชุมซึ่งมีงานออกร้าน เต็มไปด้วยคนเดินเบียดเสียดกันเนืองแน่น เสียงตะโกนของพ่อค้าแม่ค้าดังแข่งกันเซ็งแซ่ ยุพินพาแพรเดินแหวกฝูงชนไปยังซุ้มที่ทำงานของแม่ หยิบน้ำอัดลมแบบไดเอ็ตส่งให้แพร แล้วทั้งคู่จึงเดินหนีความวุ่นวายออกมาด้านหลังหอประชุม

ยุพินกับแพรไม่ได้พบกันมาสองสัปดาห์แล้ว ตั้งแต่มหาวิทยาลัยปิดภาคเรียน ทั้งคู่มีเรื่องเม้าธ์มอยกันพอสมควรตามประสาหญิงสาว

“ยกตัวอย่างภาพนี้”

ผ่านเครื่องขยายเสียง คำปาฐกถาของท่านนักกวีดังมาถึงด้านหลังหอประชุม

“ถ้ามองจากไกลๆ ทุกคนก็คงจะเห็นว่าทั้งภาพมีแต่สีขาว บริสุทธิ์ผุดผ่องไม่มีมลทิน แต่ถ้ามองจากสายตาของคนถือนี่ ก็จะเห็นเลย ว่ามันมีจุดเล็กๆ สีดำอยู่ตรงกลางภาพ นี่เป็นสิ่งที่คนส่วนใหญ่ไม่มีทางเห็น แต่ผมเห็น มีผมเท่านั้นที่เห็นเพียงคนเดียว

“ที่เห็นได้เพราะอะไร? ที่เห็นได้ก็เพราะมันอยู่ใกล้ตัว ใกล้ใจ ใกล้ความคิด เห็นได้เพราะเราประจักษ์ชัดถึงความจริงที่อยู่ตรงหน้า ก็อย่างที่บอกไปแล้ว ว่าสัจจะนี่ถ้าใครไม่เห็นก็ไม่มีทางเข้าถึง

“เขาถึงบอกว่ากวีต้องมีดวงตาที่พิเศษ ละเอียดแยบคายกว่าสายตาของคนอื่นๆ”

แพรและยุพินนั่งคุยกันอยู่ครู่หนึ่ง เสียงจากปะรำพิธีก็เงียบไป อันเป็นสัญญาณว่าการปาฐกถาคงจบลงแล้ว ยุพินลุกขึ้นและชวนแพรออกไปสวัสดีท่านนักกวี

“เฮ้ยไม่เอา แกไปคนเดียวสิ” แพรพูด

“ฉันเขินอ่ะแก แค่นี้เองไปเป็นเพื่อนกันหน่อยดิ แกไม่เคยอ่านหนังสือท่านเหรอ กลอนเพร้าะเพราะ”

“ไม่เคยอะ”

“เชยจังแกนี่ ท่านน่ะรุ่นสิบหกตุลาเลยนะ ดังจะตาย เคยได้เป็นศิลปินแห่งจักรวาลด้วยนะ”

“เหวอ อะไรอะ ศิลปินแห่งจักรวาลเนี่ยนะ”

“เออช่างเหอะ พูดไปแกก็ไม่รู้เรื่อง ไปเร็วๆ เดี๋ยวท่านกลับก่อน”

ยุพินฉุดแพรลุกขึ้นยืนและถูลู่ถูกังลากไปอย่างที่ฝ่ายหลังไม่ยินยอมพร้อมใจนัก แม่ยุพาเป็นคนแนะนำยุพินกับแพรให้ท่านนักกวีรู้จัก ยุพินเอาหนังสือบทกวีให้ท่านเซ็น

ส่วนแพรถอยออกมายืนห่างๆ เธอเห็นท่านนักกวีทักทายกับบุคคลสำคัญอีกหลายคนอย่างสุภาพและทรงภูมิ ก่อนจะออกเดินทางกลับโดยมีรถตู้ของพ่อท่านบริการไปส่ง