ลึกแต่ไม่ลับ : ที่มา ‘ดราม่าน้ำตาริน’ ที่ประชุมสปท.

มี”เกมตบจูบ” ระเบิดขึ้นระหว่างการประชุมสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ หรือ “สปท.” เมื่อวันที่ 4 กรกฎาคม จู่ๆ “บิ๊กเอ็กซ์-พล.อ.ฐิติวัจน์ กำลังเอก” สมาชิกลูกข่ายขาใหญ่ของ “คสช.” ตีบทได้เนียน เนี้ยบมาก-มาก ลุกขึ้นมาขอคำหารือต่อที่ประชุม ถามว่า การทำงานของ “อลงกรณ์ พลบุตร” รองประธาน สปท. คนที่ 1 ที่นำคณะไปพบปะ 2 พรรคการเมืองใหญ่ (ประชาธิปัตย์-เพื่อไทย) ว่ามีวัตถุประสงค์ใด และมีประโยชน์อย่างไร

ชงประเด็นสู่ที่ประชุม รสชาติกลมกล่อม 2 ทนายดัง “เสรี สุวรรณภานนท์” กะ “วันชัย สอนศิริ” ซึ่งมีข่าวว่า บริโภค “เกาเหลา” กับ “อลงกรณ์” กันมาตั้งแต่เมื่อครั้งเป็น “สปช.” ด้วยกัน และติดพันมาถึงปัจจุบัน

สลับฟันปลาลุกขึ้นมาฟาดเปรี้ยงโดยพลัน ทำนองว่า การนำคณะ สปท. ของ “เดอะจ้อน” ไปพบพรรคการเมือง ไปคารวะทูต เป็นการกระทำโดยพลการ ไม่ใช่หน้าที่โดยตรงของ “สปท.” หวังสร้างฐานปูทางให้ตัวเองไปตั้งพรรคการเมืองใหม่ อะไรทำนองนั้น

ลูกตบของ 2 เกลอหัวแข็ง นอกจากจะนวดแสกหน้า “อลงกรณ์” เต็มๆ แล้ว “ลูกหลง” ยังกระทบคราดไปโดนสีข้าง “ทินพันธุ์ นาคะตะ” ประธานสภาที่เคารพ สะบักสะบอมหนักพอท้วมๆ ด้วย
เจ้าตัว (นายทินพันธุ์) ออกมาให้สัมภาษณ์กับกองทัพผู้สื่อข่าวหลัง “สงครามสงบ” ถึงกับน้ำตาซึมคลอเบ้า จน “หลานเอ๊กซ์” ผู้เปิดประเด็นฮ็อต ต้องรีบนำพวงมาลัยเข้ากราบขอขมาในวันรุ่งขึ้น สารภาพผิดที่ทำให้ผู้ใหญ่ไม่สบายใจ แม้ตัวเองจะทำไปด้วยความบริสุทธิ์ใจก็ตาม

“สภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ” ตั้งขึ้นโดยรัฐธรรมนูญชั่วคราว พ.ศ.2557 ฉบับแก้ไขเพิ่มเติม กรกฎาคม 2558 มาตรา 39/2 แต่งตั้งโดย “นายกรัฐมนตรี” มีจำนวนไม่เกิน 200 คน มีอำนาจหน้าที่ ศึกษา จัดทำข้อเสนอเพื่อการปฏิรูปด้านต่างๆ จัดทำร่าง พ.ร.บ. เพื่อการปฏิรูป

ทั้งนี้ เพื่อดำเนินการให้เกิดการปฏิรูปด้านต่างๆ สืบสานต่อจาก สปช. ที่ถูกยุบไป ไม่มีวันเวลาแน่ชัดตามรัฐธรรมนูญชั่วคราว ว่าวาระจะสิ้นสุดลงเมื่อใด แต่กูรูกฎหมายระดับ “วิษณุ เครืองาม” เคยเปรยไว้ว่า ไม่ควรจะเกินวันเปิดประชุมสภาผู้แทนราษฎรนัดแรก

สลับฉาก ตามไปดูข้อเสนอแนะของ “แม่น้ำ 4 สาย” ที่ขอแก้ไขปรับปรุงการยกร่างรัฐธรรมนูญ ลงนามโดย “พล.อ.ธีรชัย นาควานิช” ยื่นให้ “กรธ.” ของ “มีชัย ฤชุพันธุ์” อันเป็นหนังสือด่วนที่สุด ที่ “คสช.(สลธ.)/145”

ขอยกเครื่อง “บทเฉพาะกาล” ซึ่งเป็นวาระแรกของ ส.ส. ที่มาจากการเลือกตั้ง “จึงควรให้มี ส.ว. ชุดแรก มาจากการคัดสรรหรือสรรหา หรือแต่งตั้ง ตามหลักเกณฑ์ และวิธีการที่เป็นธรรม เพื่อให้มั่นใจว่าจะได้ผู้ทรงคุณวุฒิที่มีความรู้ความสามารถปลอดจากพรรคการเมือง สามารถสร้างความเชื่อมั่นแก่ประชาชน”
ผลของการ “ทุบโต๊ะ” บทเฉพาะกาล คลอดออกมาสมปรารถนา ดังนี้คือ

1.ให้ ส.ว. มีจำนวน 250 คน ซึ่งเป็นกึ่งหนึ่งของจำนวน ส.ส.
2. ที่มาของ ส.ว. มาจากการคัดสรรหรือแต่งตั้งจากผู้ทรงคุณวุฒิ วิธีการดำเนินการโดยคณะกรรมการอิสระ
3. มีวาระการดำรงตำแหน่ง 5 ปี เนื่องจากให้สอดคล้องกับช่วงเวลาตามยุทธศาสตร์
4. คุณสมบัติ ให้เป็นไปตามที่คณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญกำหนด

“แต่เพื่อประโยชน์ในการพิทักษ์รักษาความมั่นคงและความสงบเรียบร้อยในบ้านเมือง ในกรณีที่มีคุณสมบัติว่า ไม่เป็นข้าราชการซึ่งมีตำแหน่งหรือมีเงินเดือนประจำ ควรเปิดให้สามารถแต่งตั้งข้าราชการผู้ดำรงตำแหน่งสำคัญซึ่งมิใช่ คสช. ในปัจจุบัน”

โดยให้มีจำนวนไม่เกิน 6 คน หรือไม่เกินร้อยละตามสัดส่วนเพียงเล็กน้อย เข้ามาเป็น ส.ว. โดยตำแหน่ง
ล็อกสเป๊ก 6 ที่นั่งไว้ให้ 1.ปลัดกระทรวงกลาโหม 2.ผู้บัญชาการทหารสูงสุด 3.ผู้บัญชาการทหารบก 4.ผู้บัญชาการทหารอากาศ 5.ผู้บัญชาการทหารเรือ 6.ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ
จุดเรียกน้ำย่อยที่ทำให้ใครต่อใครพากันน้ำลายสอ คือ รายละเอียดว่าด้วย “ที่มา ส.ว.” ซึ่งแยกย่อยออกเป็น 2 ส่วน

ล็อตแรก 200 คน มาจากคณะกรรมการสรรหา ซึ่ง “คสช.” เป็นผู้แต่งตั้งขึ้นจากผู้มีความรู้ ความเชี่ยวชาญด้านต่างๆ มาทำหน้าที่สรรหาบุคคลที่เหมาะสม โดย “6 ที่นั่ง” โดยตำแหน่ง เป็น ผบ.เหล่าทัพ

ล็อตที่ 2 มีจำนวน 50 คน ให้มาจากการเลือกตั้งแบบไขว้จากผู้สมัครระดับอำเภอ จังหวัด และประเทศ โดยคัดเลือกผู้เหมาะสมจากกลุ่มต่างๆ แล้วให้ “คสช.” เป็นผู้คัดเลือก เป็น ส.ว. 50 ที่นั่ง เพื่อให้เกิดสภาพ “ปลาน้ำเดียวกัน”

นำยอดของล็อตที่ 1 กับล็อตที่ 2 มารวมเข่งเข้าหากัน เท่ากับ 250 คน หักด้วย 6 ที่นั่ง โดยตำแหน่ง เหลือเก้าอี้ว่างอีกบานตะเกียง 244 ที่นั่ง
ทั้งหลายทั้งปวง จึงเป็นที่ไปที่มาทำให้เกิดปม “ดราม่า” ขึ้นในการประชุมสภา สปท.

แน่นอนว่าพลันที่ การลงประชามติผ่าน หรือไม่ผ่านในวันที่ 7 สิงหาคม ก็ไม่มีปัญหาใดๆ ศึกเลือกตั้งต้องระเบิดเถิดเทิงขึ้นล้านเปอร์เซ็นต์อยู่แล้ว จะช้าหรือเร็ว เพราะ “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” สามารถใช้ดาบอาญาสิทธิ์ “มาตรา 44” เนรมิตได้ทุกเรื่อง หยิบรัฐธรรมนูญฉบับหนึ่งฉบับใดมาปัดฝุ่นประกาศใช้ได้ ไม่มีปัญหา

จะเลื่อนโปรแกรมเลือกตั้งเป็นวันนี้ วันพรุ่ง โดยไม่ต้องออกเสียงประชามติให้สิ้นเปลืองงบประมาณเลยก็ยังได้

เลือกตั้งเสร็จ “แม่น้ำ 4 สาย” ต้องสลายตัวโดยอัตโนมัติ ทั้ง “สปช.-คณะกรรมการยกร่างรัฐธรรมนูญ-คณะรัฐมนตรี-สภาขับเคลื่อนฯ”

เนื้อนาบุญจะเหลืออยู่เพียงแห่งเดียว คือ “ส.ว.ลากตั้ง” จำนวน 244 ที่นั่ง

ช่วงนี้ จึงเป็นเรื่องธรรมดาที่พวกซุป”ตาร์ ทั้งขาจร-ขาประจำ ต้องหมั่นออกโรงโชว์เพามากหน่อย เพื่อสร้างผลงานให้เข้าตากรรมการคือ “บิ๊ก คสช.”

มองต่างมุม เกิดรายการ “ปืนลั่น” ถากสีข้างกันเองบ้าง จึงไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะทุกคนคาดหวัง “สอบเทียบ” ขึ้นเป็น 1 ใน 250 ส.ว.

“ลากตั้ง” โดยไม่ต้องลงทุนลงแรงอะไรแล้ว ยังมีเวลาอยู่ในตำแหน่งอีก 5 ปี “เวิร์ก” มากๆ