ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 16 - 22 มีนาคม 2561 |
---|---|
คอลัมน์ | เสฐียรพงษ์ วรรณปก |
เผยแพร่ |
คำบรรยายพระไตรปิฎก (4)
7.สุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย
– สังยุตตนิกาย คือ “สูตรรวมกลุ่ม” (มี 56 สังยุต) การจัดเนื้อหาพยายามให้เป็นระบบมากขึ้น โดยเนื้อหาทำนองเดียวกันไว้ในสังยุตเดียวกัน
– พระสูตรส่วนมากสั้น ไม่มีนิทานนำเรื่องและสรุป แต่จะเน้นเนื้อหาเลยทีเดียวพฤติกรรมทางสังคม และสภาพจิตของปัจเจกบุคคล
– ข้อน่าประทับใจคือ การใช้สัญลักษณ์ หรือเปรียบเทียบได้ดี ทำให้จำได้ง่าย
– มีเรื่องเกี่ยวกับเทวดา (รวมถึง มาร พรหม) รวมอยู่ในสังยุตตนิกายเป็นส่วนมาก
– เรื่องพรหมอัญเชิญพระพุทธเจ้าโปรดสัตว์โลก (ต้นเหตุการอาราธนาธรรม)
– เรื่องเทวดามากล่าวภาษิตถวายพระพุทธเจ้าต่างวาระ ต่างโอกาส น่าสังเกตคือ ทรรศนะของเทวดาส่วนมากเป็น “โลกียะ” คือไม่ต่างจากที่มนุษย์ปุถุชนทั่วไปมองกันส่วนพระพุทธองค์ทรงมองแบบ “อริยะ” คือ มองลึกลงไปถึงสภาพความเป็นจริง
– เรื่องมารและประเภทของมาร ที่มา “ผจญ” ผู้ทำความดี
– ได้ทราบเรื่องพระเจ้าปเสนทิโกศล ผู้เป็นกำลังอุปถัมภ์พระพุทธองค์และพระพุทธศาสนา (นอกเหนือจากพระเจ้าพิมพิสาร และพระเจ้าอชาตศัตรูแห่งแคว้นมคธรัฐ) และทราบถึงความเคลื่อนไหวทางการเมืองของแคว้นทั้งสอง ตาม “บริบท” แห่งสังยุตตนิกายนี้
– พัฒนาการแห่งชีวิตมนุษย์ ตรัสไว้ในอินทกสูตร น่าสนใจและน่าทึ่งว่าที่ตรัสไว้เมื่อสองพันกว่าปีมาแล้ว ตรงกับที่วิทยาการสมัยใหม่ค้นพบอย่าง น่าอัศจรรย์
– มีพระสูตรที่มีเนื้อหาน่าสนใจมาก เช่น ทำอย่างไรเมื่อถูกเขาด่า (อักโกสกสูตร), รู้ได้อย่างไรว่าพระภิกษุรูปใดเป็นพระอรหันต์ (ชฏิลสูตร), ธรรมะดุจใบไม้กำมือเดียว (สิงหปาสูตร), ภิกษุดุจหนอนรันขี้ (เอฬกสูตร), ภิกษุดุจหมาขี้เรื้อน (สิคาลกสูตร) ฯลฯ
– บางสูตรน่าจะนำมาผนวกภายหลัง เช่น แนวคิดเรื่องพระราหูอมพระอาทิตย์ และพระจันทร์ (จันทิมสูตร, สุริยสูตร)
8.สุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย
– อังคุตรนิกาย ลำดับจำนวนหรือประมวลข้อธรรมจากน้อยไปมาก (มี 9,557 สูตรสั้นๆ) จัดลำดับตามจำนวนข้อธรรม เช่น ธรรมมีลักษณะเป็นหนึ่งรวมอยู่ในเอกนิบาต และดำเนินตามวิธีการของพระสารีบุตรที่จัดในสังคีติสูตร และทสุตตรสูตร
– เอตทัคคะ (ตำแหน่งความเป็นผู้เลิศกว่าผู้อื่น) ของพระสาวกทั้งหลายรวมอยู่ในเอกนิบาต
– มีพระสูตรสั้นๆ แทรกอยู่ด้วย เช่น เกสปุตติยสูตร (หรือกาลามสูตร ว่าด้วย “หลักแห่งความเชื่อ” ของชาวพุทธ), โรณสูตร (ว่าด้วย การร้องไห้ทางธรรมและความเป็นบ้าในทางธรรม), เกลีสูตร (ว่าด้วย การฆ่าในความหมายแห่งอริยะ), กสิสูตร (วิธีทำนาแบบพุทธะ) ฯลฯ
– จุดเด่นอย่างหนึ่งคือ การอธิบายธรรมโดยอุปมาอุปไมย เช่น
– เปรียบการบำเพ็ญศีล สมาธิ ปัญญา ดุจชาวนาปรับพื้นนา หว่านกล้า และไขน้ำ
– เปรียบสามีภรรยา เหมือนศพอยู่กับเทพ, ศพอยู่กับศพ, เทพอยู่กับเทพ
– เปรียบคนล้มเหลวทั้งทางโลกและทางธรรม ดุจคนตาบอดสองข้าง, คนประสบความสำเร็จในการดำรงชีวิต แต่ไร้คุณธรรมดุจคนตาเดียว, คนประสบความสำเร็จทั้งสองทางดุจคนตาดี
– เปรียบคนไม่มีคุณธรรมเหมือนคนจน การทำชั่วเหมือนการกู้หนี้ ทำชั่วแล้วปกปิดไว้เหมือนการเสียดอก ทำชั่วถูกตำหนิเหมือนถูกทวงหนี้ ทำชั่วแล้วได้รับความร้อนใจ เหมือนลูกหนี้ถูกตามตัว ทำชั่วแล้วรับผลกรรม เหมือนคนเป็นหนี้ ถูกฟ้องร้องแล้วจำคุก
– ธรรมะที่น่าในใจพิเศษ เช่น
– ราคะ โทสะ โมหะ มีโทษมากน้อยและขจัดได้ช้าเร็วกว่ากัน
– คู่สร้างคู่สม, ความสุขของคฤหัสถ์
– บุคคล 4 ประเภท
– องค์แห่งพหูสูต
– กัลยาณมิตรธรรม
– หลักแห่งการเป็นนักการทูตที่ดี
– หลักแห่งการเป็นนักธุรกิจที่ดี
9.สุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย
ขุททกนิกาย (กษุทราคม) แปลว่า หมวดเล็ก หมวดเบ็ดเตล็ด มีทั้งหมด 15 หมวดย่อยคือ
– ขุททกปาฐะ (บทสวดเล็กๆ)
– ธรรมบท (บทกวีสอนธรรม)
– อุทาน (คำเปล่งขึ้นจากแรงบันดาลใจ)
– อิติวุตตกะ (คำสอนประเภทอ้างอิง)
– สุตตนิบาต (ประมวลสูตรสั้นๆ)
– วิมานวัตถุ (เรื่องของเทวดา)
– เปตวัตถุ (เรื่องของเปรต)
– เถรคาถา (บทกวีของพระเถระ)
– เถรีคาถา (บทกวีของพระเถรี)
– ชาดก (เรื่องอดีตชาติของพระโพธิสัตว์)
– นิเทศ (อธิบายธรรมให้เข้าใจลึกซึ้ง)
– ปฏิสัมภิทามรรค (แนวการอธิบายธรรมเพื่อให้แตกฉาน)
– อปทาน (เรื่องอดีตพุทธ ปัจเจกพุทธ และสาวก)
– พุทธวังสะ (เรื่องอดีตพุทธ 24 องค์)
– จริยาปิฎก (พุทธจริยาของพระพุทธเจ้าในอดีต 35 เรื่อง)
เนื้อหาขุททกนิกาย
– ขุททกปาฐะ เนื้อหาซ้ำซ้อน มีอยู่ในคัมภีร์อื่นเป็นส่วนมาก เช่น มงคลสูตร รัตนสูตร กรณียสูตร มีอยู่ในสุตตนิบาตร เข้าใจว่า คัมภีร์นี้รวบรวมเข้าภายหลัง เพื่อใช้สวดพระปริตรโดยเฉพาะธรรมเนียมนำพระสูตรมาสวด เพื่อสวัสดิมงคลต่างๆ ที่ทำอยู่ในประเทศศรีลังกา
– ธรรมบท และอรรถกถาธรรมบท ในขุททกนิกาย มีเฉพาะคาถาสั้นๆ แต่มีการอธิบายและเล่านิทานประกอบในอรรถกถาธรรมบท จึงควรศึกษาควบคู่กัน และมีข้อแตกต่างที่สังเกตได้ดังนี้
– คาถา บรรยายธรรมเป็นกลางๆ เสนอพุทธปรัชญาบริสุทธิ์ แต่อรรถกถาแต่งเติมเสริมต่อ อาจเสริม หรือลดคุณค่าของพุทธปรัชญาเดิม (แล้วแต่จะมอง)
– ความเด่นของอรรถกถา อยู่ที่ให้เห็นภาพฉายเกี่ยวกับพระพุทธเจ้าชัดเจนกว่าตัวคาถา
– ทรงเป็นศูนย์รวมจิตใจของสาวก และทรงปกครองสงฆ์ฐานะ “บิดาและบุตร”
– สะท้อนภาพ “อุปัฏฐากศาลา” (โรงฉันธรรมสภา) เป็นที่ถกเถียงปัญหาธรรมต่างๆ โดยมีพระพุทธเจ้าทรงเป็นผู้ช่วยชี้แนะ
– สะท้อนความแตกแยกในวงการสงฆ์และบทบาทของพระพุทธองค์และพระอัครสาวกในการประสานสามัคคีในหมู่สงฆ์
– แสดงถึงกลวิธีและเทคนิควิธีในการสอนของพระพุทธเจ้า ที่ควรศึกษา และน่าเอาไปเป็นแบบอย่าง
– ในตัวคาถาธรรมบท มีอุปมาอุปไมยชัดเจนมาก แทบไม่ต้องอธิบายก็เข้าใจได้ทันที เช่น เปรียบคนทำชั่วทุกข์ตามสนอง ดุจล้อตามรอยเท้าโคที่ลากเกวียน เปรียบคนโง่ไม่รู้รสธรรม ดุจทัพพีไม่รู้รสแกง
– นิทานคนตาบอดคลำช้าง มีอยู่ในขุททกนิกาย (อปทาน) ให้แง่คิดว่าคนที่มองเห็นอะไรในแง่มุมเดียวแล้วยึดมั่นอยู่กับความเห็นนั้น ไม่ต่างอะไรกันคนตาบอด และไม่วายต้องถกเถียงและทะเลาะกับคนอื่น
– ทรงเน้นคุณธรรมสองข้อคือ หิริโอตตัปปะ ว่าเป็นธรรมะคุ้มครองโลก หากขาดธรรมะสองข้อนี้ มนุษย์จะไม่ต่างจากสัตว์ “สัตว์โลกจะไม่มีป้า น้า ภรรยาของอาจารย์ หรือภรรยาของครู จักสำส่อนไม่ต่างจากแพะ แกะ ไก่ สุกร สุนัข จิ้งจอก” (ธัมมสูตร)
– นิยามความหมายของ “นิพพาน” ไว้ 2 ประการคือ
– สอุปทิเสสนิพพาน หมายถึง (1) ดับกิเลสได้เป็นส่วนๆ ไม่ดับหมด อันหมายถึงการดับกิเลสของพระโสดาบัน พระสกทาคามี และพระอนาคามี (2) การดับกิเลสหมดแล้ว แต่ขันธ์ยังเหลือ คือการดับกิเลสของพระอรหันต์ที่ยังมีชีวิตอยู่
– อนุปาทิเสสนิพพาน หมายถึง (1) การดับกิเลสโดยสิ้นเชิงของพระอรหันต์ (2) การดับขันธ์ของพระอรหันต์
– เรื่องนรกสวรรค์ พูดบ่อยมากในพระไตรปิฎก มิใช่เพียงพูดผ่านๆ จึงเชื่อว่าพระพุทธศาสนายอมรับความมีอยู่จริงแห่งนรกสวรรค์ ที่น่าสังเกตคือ
– ในแง่กายภาพ บรรยายไม่ชัดเจนว่า นรกสวรรค์มีรูปร่างลักษณะสัณฐานอย่างไร อยู่ “ที่ไหน” อย่างไร
– ในแง่นามธรรม หรือสภาวะจิต มีพระสูตรตรัสว่า นรกสวรรค์สัมผัสได้ทางอายตนะ (“ฉผัสสายตนิกนรก” และ “ฉผัสสายตนิกสวรรค์”)
– สรุปได้ว่า นรกสวรรค์ มีความหมาย 2 มิติ คือ นรกสวรรค์ทางกายภาพ และนรกสวรรค์ทางจิต
– วิมานวัตถุ กับเปตวัตถุ เป็นรายงานของพระโมคคัลลานะเกี่ยวกับบุพกรรมของเทวดาและเปรต ส่งผลให้ได้รับผลต่างๆ กัน เป็นผลงานที่เพิ่มภายหลัง เพื่อให้คนอายชั่วกลัวบาป
มีอิทธิพลต่อความคิดความเชื่อของชาวพุทธเถรวาทมาก ต้นกำเนิดวรรณคดีทำนองนี้มากมาย เช่น ไตรภูมิพระร่วงมาลัยเทวสูตร (เรื่องพระมาลัย)
– เถร – เถรีคาถา นอกจากแสดงถึงหลักธรรมที่พระเถระเถรีนั้นๆ กล่าวแล้ว ยังบอกถึงภูมิหลังของท่านเหล่านั้นด้วย มีความไพเราะกินใจมาก
(เนื้อหาบางบทได้นำมาแปลและพิมพ์เป็นเล่มแล้ว โปรดดู “บทเพลงแห่งพระอรหันต์” โดย เสฐียรพงษ์ วรรณปก)