วิถีแห่งอำนาจ เอี้ยก่วย/เสถียร จันทิมาทร/พิธี เลอะเทอะ เหลวไหล (130)

เสถียร จันทิมาธร

วิถีแห่งอำนาจ เอี้ยก่วย
เสถียร จันทิมาทร

พิธี เลอะเทอะ เหลวไหล (130)

เหมือนกับเอี้ยก่วยจะถอย หันกายเดินไปตามทางน้อยซึ่งทอดสู่สุสานโบราณ 2 ก้าว สะพายกระบี่หนักไร้คมไว้กลางหลัง ทิ้งแขนเสื้อข้างขวาลงใช้แขนซ้ายโอบประคองเซียวเล้งนึ่ง ลอบเกร็งลมปราณขึ้นจากจุดตังชั้ง
พลันแหงนเงยหน้าขึ้นแล้วหัวร่อจนสะท้านถึงยอดไม้
เหล่านักพรตถึงกับใจสั่นสะท้าน เสียงหัวร่อยังไม่ทันขาดหาย บัดดลนั้นมันก็ปลดปล่อยเซียวเล้งนึ่งถอยพุ่งไปด้านหลัง มือซ้ายคว้าใส่จุดหวยจง จี่เกาบนข้อมือขวาของซุนปุกซี่ เซียวเล้งนึ่งสูญเสียจากการประคองร่างส่ายโงนเงนแทบล้มลงตึง
เอี้ยก่วยพลันฉุดลากซุนปุกยี่กลับมารองรับอยู่ด้านหลังของเซียวเล้งนึ่ง
การเคลื่อนไหวไม่ว่าพุ่งถอย ไม่ว่ากระโดดไป นับว่ารวดเร็วดุดกระต่ายปราดเปรียว เหล่านักพรตยังไม่ทันกะพริบตา ซุนปุกยี่ก็ตกไปในเงื้อมมือเอี้ยก่วย ไม่อาจขยับเคลื่อนไหว
คูชู่กี ซุนปุกยี่และพวกล้วนกรำศึกมายาวนาน ความจริงก็ระวังป้องกันว่าเอี้ยก่วยจะลงมืออย่างกะทันหันคร่ากุมคนผู้หนึ่งเป็นตัวประกัน แต่เมื่อเห็นมันซุกเก็บอาวุธเดินไปตามทางน้อยซึ่งออกจากตำหนักแล้วแขนเพียงข้างเดียวก็โอบประคองเซียวเล้งนึ่งไว้ ต่างคาดว่าเอี้ยก่วยคงสำนึกตัวล่าถอยจึงตายใจ
คิดไม่ถึงว่าเอี้ยก่วยจะใช้กลยุทธ์แบ่งมือมาคร่ากุมซุนปุกยี่

น่าเศร้าอย่างยิ่งสำหรับเหล่านักพรตไม่ว่าจะเป็นคูชู่กี ไม่ว่าจะเป็นซุนปุกยี่ คนเหล่านี้ท่องทะยานทั่วยุทธจักร มีชื่อเสียงเกริกไกร คิดไม่ถึงพอย่างเข้าปัจฉิมวัยกลับถูกบุรุษหนุ่มที่เพิ่งออกท่องเที่ยวผู้หนึ่งข่มขู่คุกคาม
เป้าหมายของเอี้ยก่วยย่อมอยู่ที่โบสถ์หลังตำหนักเต้งเอี้ยง
ดึงอาสนะผืนหนึ่งให้ซุนปุกยี่นั่งลงกล่าวคำ “ขออภัย” ยื่นมือจี้จุดไต้จุย ซิงตึ้งที่กลางหลังทำให้ไม่สามารถเคลื่อนไหว ประคองเซียวเล้งนึ่งยืนเคียงคู่อยู่เบื้องหน้าภาพวาดเฮ้งเต้งเอี้ยง
นักพรตที่เห็นในภาพวาดมือถือกระบี่บุคลิกโอ่อ่าอาจหาญ อายุเพียง 30 กว่าปี ข้างภาพวาดกำกับอักษร “คนตายในคนเป็น” (อั้วซี้นั้ง) มาตรแม้นมีลายเส้นไม่กี่เส้นแต่คนองอาจสง่างามยิ่งนัก
เอี้ยก่วยเมื่อเยาว์วัยเคยฝึกฝีมือในตำหนักเต้งเอี้ยงเห็นภาพใบนี้มาจนคุ้นตาทราบว่าเป็นภาพเหมือนของเต้งเอี้ยงโจ้วซือ
พลันฉุกคิดในสุสานโบราณก็มีภาพวาดของเฮ้งเต้งเอี้ยง มาตรแม้นนี่เป็นหน้าด้านตรงส่วนในสุสานเป็นรูปเงาหลังแต่ลายเส้นเป็นฝีมือเดียวกันจึงอุทานออกมาดังๆ
“ภาพใบนี้เป็นผลงานของโจ้วซือพั่วพั้ว”
เซียวเล้งนึ่งผงกศีรษะรับแย้มยิ้มอย่างอ่อนหวาน “พวกเราแต่งงานกันที่เบื้องหน้าภาพวาดของเต้งเอี้ยงโจ้วซือ ภาพใบนี้เป็นโจ้วซือพั่วพั้ววาดขึ้น นับว่าประเสริฐแท้”
การแต่งงานของเซียวเล้งนึ่งกับเอี้ยก่วยจึงได้บังเกิด

เอี้ยก่วยเตะอาสนะมา 2 ผืน จัดเรียงเคียงคู่อยู่หน้ารูปเฮ้งเต้งเอี้ยงแล้วกล่าวด้วยเสียงดังกังวาน
“ศิษย์เอี้ยก่วยกับศิษย์นามเล้งสี วันนี้แต่งงานเป็นสามีภรรยาที่เบื้องหน้าปรมาจารย์เต้งเอี้ยง เต้าเจี้ยงสำนักช้วนจินทั้งหลายร้อยรูปล้วนเป็นสักขีพยาน”
กล่าวจบคุกเข่าลง พลางกล่าว “พวกเราแต่งงานเป็นสามีภรรยาในที่นี้ ท่านคุกเข่าลงด้วย”
เซียวเล้งนึ่งครุ่นคิดไม่ตอบคำ ขอบตาแดงก่ำ น้ำตาเอ่อคลอหน่วยแทบหยดหยาด “ข้าพเจ้าเมื่อสูญเสียความบริสุทธิ์ทั้งยังเป็นคนใกล้ตาย ท่านไยต้อง ไยต้องดีต่อข้าพเจ้าถึงเพียงนี้”
น้ำตาไหลรินลงอาบแก้มอย่างแช่มช้า
เห็นดังนั้นเอี้ยก่วยลุกขึ้นยืน ใช้แขนเสื้อเช็ดน้ำตาให้แก่นางพลางกล่าว “ท่านยังไม่เข้าใจจิตใจของข้าพเจ้าหรือ ข้าพเจ้าหวังว่าพวกเราทั้ง 2 สามารถมีชีวิตอีกร้อยปี ให้ข้าพเจ้าปฏิบัติต่อท่า ด้วยดีเพื่อตอบแทนบุญคุณน้ำใจที่ท่านมีต่อข้าพเจ้า
“หากไม่สามารถ มาตรว่าสวรรค์เพียงอนุญาตพวกเรามีชีวิตอีก 1 วัน พวกเราก็เป็นสามีภรรยา 1 วัน เพียงอนุญาตพวกเรามีชีวิตอีก 1 ชั่วยาม พวกเราก็จะเป็นสามีภรรยา 1 ชั่วยาม”
พลันใบหน้าหมองเศร้าของเซียวเล้งนึ่งก็เผยอแย้มยิ้มออกมา

ซุนปุกยี่แม้มิอาจขยับเคลื่อนไหว กลับได้ยินถ้อยร้อยวาจา สังเกตเห็น 2 สีหน้าอย่างชัดแจ้ง รู้สึกว่า 2 หนุ่มสาวโอ่อ่าเปิดเผย
สิ่งที่กระทำแม้เลอะเทอะเหลวไหวแต่ก็เกิดจากน้ำใจอันบริสุทธิ์
อดหวนนึกถึงภาพเหตุการณ์เมื่อครั้งวัยสาวของนางตอนแรกวิวาห์กับเบ๊เง็กมิได้ นางความจริงมีสีหน้าบูดบึ้งขุ่นเคือง รอจนเอี้ยก่วยกับเซียวเล้งนึ่งกราบไหว้เสร็จลุกขึ้นยืน
สีหน้านางก็กลับกลายเป็นอ่อนโยนนุ่มนวล