อุรุดา โควินท์ / ความทรงจำ : มีรักย่อมมีห่วง

ตั้งแต่ออกจากกำแพงเพชร ฉันเอาแต่มองผ่านกระจกข้าง เรากำลังมุ่งหน้าสู่เชียงราย ไปหาสมิงพระราหู-หมาของเรา

เหลืองฝ้ายคำข้างทางสว่างไสวตัดกับสีท้องฟ้า วันนี้ก้อนเมฆนุ่มฟูดีจัง ฉันคิด แล้วก็ขำตัวเอง

เมฆเป็นอย่างนี้ทุกวัน สายตาฉันต่างหากที่เปลี่ยน

สองวันก่อนตัดสินใจเดินทาง รอบตัวดูหม่นหมอง

เราไม่อาจวางความกังวลใจลง เมื่อรู้ว่าสมิงพระราหูเป็นพยาธิเม็ดเลือด และแม่ต้องไปธุระที่เชียงใหม่

เงือกซีด ซึม อ่อนเพลีย เกล็ดเลือดต่ำ แม้ไม่มากจนหมอกังวล แต่สมิงไม่ยอมกินอะไร ทำให้กินยาไม่ได้ เพราะยาต้องกินหลังอาหารทันที

หลังโทรศัพท์คุยกับหมอ ฉันได้ข้อสรุปว่า สมิงพระราหูจะหาย ค่อยๆ ดีขึ้นหลังกินยาปฏิชีวนะ ใจความสำคัญของการรักษาคือสมิงต้องกินอาหารและกินยาอย่างต่อเนื่องหนึ่งเดือน

ป้อนยาไม่ใช่เรื่องง่าย หากหมาไม่ยอมกินอาหาร นอกจากแม่ ก็ไม่มีใครที่ฉันไว้ใจ

และใช่! มีแต่ฉันที่แม่วางใจว่าจะดูแลสมิงพระราหูเป็นอย่างดี มันเป็นหมาของเรา หมาที่ฉันกับแม่ตัดสินใจรับเลี้ยงร่วมกัน

 

ตอนที่เราเจอสมิง มันเป็นหมาหนุ่ม ตัวเหม็นเหมือนไม่ได้อาบน้ำมาทั้งปี ขนสีทองยาว แต่มอมแมมมาก ฉันกำลังอยู่ในครัวของน้องสาว มีสีน้ำตาลวิ่งผ่านหลังไป พร้อมกลิ่นฉุนกึกซึ่งเอาชนะกลิ่นน้ำพริกแกงในหม้อได้

หมาวิ่งไปหยุดอยู่กลางแปลงดอกหน้าวัว

นั่นเป็นครั้งแรกที่ฉันเห็นโกลเด้นรีทรีฟเวอร์ ฉันชอบหมา แต่ไม่ถึงกับรัก และไม่คิดจะเลี้ยงสัตว์ชนิดใด

“ตัวเหม็นจังโว้ย” ฉันตะโกน

“ขนมันสวยมากนะ” แม่ว่า…แค่ฟังเสียงก็รู้ว่าแม่เอ็นดูมัน

ฉันไม่แปลกใจ แม่เลี้ยงหมามาตลอดชีวิต เลี้ยงเสียจนฉันสรุปได้ว่า หมาน่ะ ไม่ใช่อื่นใดนอกจากภาระ

แล้วดูสิ (ยิ้มเยาะตัวเอง) ฉันเดินทางแปดร้อยกิโลเมตร เพื่อป้อนยาให้หมาสองวัน มาด้วยความเต็มใจ แถมยิ่งใกล้เชียงราย ใจยิ่งเต้น จะได้เจอกันแล้ว มันต้องดีใจแน่ มันต้องกินเก่งขึ้น หายเร็วขึ้น

ถ้าวันนั้นฉันไม่เดินไปดูมันใกล้ๆ ฉันก็ไม่ต้องคิดถึงมัน ไม่ต้องเป็นห่วง และไม่ต้องเดินทาง

ทั้งหมดวางอยู่บนคำว่าถ้า…ซึ่งหมายถึงไม่ได้เกิดขึ้น

 

แม่ให้ฉันทำแกงเขียวหวาน ฉันเรียนรู้มาจากแม่นั่นละ แต่ดูเหมือนแม่จะชอบฝีมือฉันมากกว่า หรือไม่-แม่ก็ไม่สะดวกด้วยประการทั้งปวง แม่เข้าครัวน้อยลงเรื่อยๆ ทักษะในครัวนั้น หากเราทิ้งมัน มันย่อมทิ้งเราเช่นกัน อยู่ในครัว เราจะเก้ๆ กังๆ เริ่มรู้สึก-จ่ายตลาดเป็นเรื่องยุ่งยาก และสุดท้าย-ซื้อกินเถอะ (ขี้เกียจ)

ฉันคงไม่ได้เจอสมิงพระราหู ถ้าแก๊สไม่หมด ฉันเปิดเตาเคี่ยวหัวกะทิ เห็นไฟอ่อนระทวยจนน่าเป็นห่วง จึงยกวัตถุดิบมาปรุงในครัวบ้านน้อง

แกงเขียวหวานของฉัน เริ่มต้นจากหัวกะทิ ฉันแกงจนอยู่มือ มั่นใจว่ากะทิหนึ่งกิโลกรัม พอดีกับเนื้อไก่หนึ่งกิโลกรัม และมะเขือเปราะราว 3 ขีด

ฉันชอบไก่ส่วนที่ติดกระดูก โดยดึงเอาหนังไก่ออกบ้าง เพราะไม่อยากให้น้ำมันลอยหน้ามากนัก สับไก่เป็นชิ้นใหญ่

มะเขือเปราะหั่นสี่ชิ้นต่อหนึ่งลูก (แช่น้ำรอ)

เด็ดใบโหระพาใส่ถ้วย ซอยพริกเหลืองพริกแดงไว้

แถมด้วยพริกขี้หนูทุบสัก 20 เม็ด (เพื่อความจี๊ด)

เตรียมทุกอย่างพร้อม ฉันจึงเปิดเตา

เคี่ยวหัวกะทิด้วยไฟอ่อน คนไม่หยุดมือ กระทั่งกะทิข้นขึ้น บางส่วนแปรสภาพเป็นไขมันลอยหน้า

ฉันค่อยๆ ใส่น้ำพริกแกงเขียวหวาน แอบโรยผงยี่หร่านิดหน่อย

ผัดน้ำพริกแกงกับหัวกะทิให้หอม เราจำเป็นต้องรอ เพื่อน้ำมันจะดึงกลิ่นน้ำพริกแกงออกมา

ตอนนั้นละ ที่หมาตัวโตวิ่งไปในแปลงดอกไม้ ทิ้งกลิ่นตุๆ ไว้ในครัว

 

ฉันปล่อยให้มันชมดอกหน้าวัว (ใจคิด-เดี๋ยวคงออกไปเอง) ใส่เนื้อไก่ลงไปผัดให้ตึง เติมหางกะทิแค่พอท่วม เร่งไฟ แล้วใส่มะเขือเปราะกับพริกขี้หนูทุบ

อยากแกงให้เผ็ดสักนิด แต่อยากได้กลิ่นน้ำพริกแบบพอดี จึงใส่น้ำพริกแกงแค่พองาม แล้วเติมพริกขี้หนูให้เผ็ดดังใจ

หันไปทางแปลงหน้าวัว หมายังนั่งที่เดิม อย่างกับเป็นรูปปั้นในสวน

มะเขือเปราะสุกแล้ว ปรุงด้วยน้ำปลา น้ำตาล และชิม

ฉันเติมน้ำตาลลงหม้อมากกว่าแกงชนิดอื่น แต่ยังถือเป็นแกงเขียวหวานแบบหวานน้อย ถ้าแม่จะตักแกงไปเติมน้ำตาลเอง นั่นก็แล้วแต่แม่ (ยักไหล่)

ได้รสที่ชอบแล้ว ฉันโรยพริกเหลือง พริกแดง ใบโหระพา

แกงกะทิไม่ยาก หากเรารู้ว่าชอบแบบไหน เผ็ดเท่าไร หวานเพียงใด ข้นมากมั้ย เราชอบกลิ่นน้ำพริกแกงหรือไม่ แกงเขียวหวานจึงหากินง่าย แต่หาถูกใจยาก (นอกเสียจากเราจะแกงเป็น)

ฉันปิดเตา ถือทัพพีเดินไปหาหมา ตั้งใจจะไล่ แต่มันจ้องตา

สมิงพระราหูเป็นหมาตัวแรกที่จ้องตาฉัน

ผลุบ!

ฉันร่วงลงไปในดวงตาสีน้ำตาลคู่นั้น ดวงตาซึ่งฉันยังไม่เข้าใจว่าจะบอกอะไร

 

“มานี่สิ” ฉันเรียก

หมาเดินตามเข้าครัว ฉันนั่งบนเก้าอี้ มันนั่งบนพื้นด้วยขาหลัง เราจ้องตากันนาน ก่อนที่ฉันจะพูด “สมิงพระราหู”

ชื่อซึ่งคิดไว้เล่นๆ ว่าจะมอบให้ลูกชาย-หากเรามี

ฉันไม่รู้ว่าสมิงพระราหูเกิดวันไหน รู้แต่ว่ามันมาหาฉันในฤดูฝน สิงหาคมของปีถัดมา และทุกๆ ปี เราจึงฉลองวันครบรอบด้วยกัน

รถเข้าเขตลำปางแล้ว อีกราวสิบกิโลเมตรจะถึงร้านก๋วยเตี๋ยวเจ้าประจำของเรา

ฉันหันไปถามเขา “ปีนี้ทำอะไรฉลองดี สมิงอยู่กับเรา 5 ปีแล้วนะ”

เขาใช้นิ้วเคาะพวงมาลัย “พริกระฆังสอดไส้ดีมั้ย”

ฉันยิ้ม นั่นน่ะ-ไม่ใช่แค่สมิงพระราหูหรอก เป็นจานโปรดของเขาด้วย