เรื่องสั้น : ลูกชายแบทแมน (จบ)

อ่านเรื่องสั้น : ลูกชายแบทแมนตอนแรก คลิก

หลังเห็นบรรยากาศไม่ค่อยดี หญิงสาวจึงขอตัวกลับบ้านก่อน ผมเห็นดีด้วยจึงออกปากจะไปส่งเธอที่บ้าน หากแต่เธอไม่อยากรบกวนผมมากไปกว่านี้ จึงขอกลับเอง เธอว่าผมควรจะอยู่คุยกับพ่อ ท่านจะได้หายหงุดหงิดขึ้นมาบ้าง ผมพยักหน้ารับ เธอโบกมือให้ผมด้วยกิริยาที่น่ารัก ผมมองตามจนเธอหายเข้าไปในลิฟต์แล้วหมุนตัวเดินกลับห้อง พ่อไม่อยู่แล้วเหลือแต่แม่ที่นั่งอยู่ที่เดิม ระหว่างเดินผ่านผมได้เผลออ่านใจแม่แล้วก็รู้ว่าท่านจะให้ผมทำอะไร ผมรีบสาวเท้าหนีกลับห้องแต่ก็ไม่ทัน แม่เรียกผมไว้ด้วยน้ำเสียงเฉียบขาด “แมดด็อก! เอาชุดไปลองให้แม่ดูหน่อยว่าใส่พอดีมั้ย” แม่พูดสีหน้าเรียบนิ่ง “แม่ครับ ผมไม่อยากใส่ แม่ก็รู้” ผมพูดออกไปอย่างเบื่อหน่าย “ทำไมลูกถึงไม่อยากใส่” แม่เริ่มเสียงแข็ง “ก็ผมไม่อยากเป็นฮีโร่นี่ครับ” “ใครๆ ก็อยากเป็นฮีโร่ทั้งนั้น” “แต่ไม่ใช่ผม!” “ไป! ลอง! ชุด! เดี๋ยว! นี้!” แม่จ้องหน้าผมเขม็ง ผมคว้าชุดจากมือแม่อย่างเสียไม่ได้ เดินเข้าห้องไปด้วยท่าทีหงุดหงิดเต็มที่ ครู่หนึ่งก็ออกมายืนต่อหน้าแม่ด้วยชุดเกราะสีดำสนิท “แล้วหน้ากากกับผ้าคลุม ทำไมไม่ใส่” “ก็แม่แค่อยากรู้ว่าผมใส่ชุดได้หรือเปล่าไม่ใช่เหรอครับ หน้ากากกับผ้าคลุมยังไงก็ใส่ได้อยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องลอง” “แกนี่” แม่พูดพลางถอนใจอย่างขุ่นเคือง คงคร้านจะพูดกับผมจึงเดินหนีเข้าครัว ผมเข้าห้องไปถอดชุดเกราะออกแล้วนำมาวางไว้ที่โซฟา จากนั้นก็รีบกระโจนเข้าห้องแล้วปิดล็อก ทิ้งตัวลงบนที่นอนพลางบอกตัวเองซ้ำๆ ว่า ผมไม่อยากเป็นฮีโร่ ผมเบื่อหน่ายกับการถูกกดดันให้ต้องเก่งต้องกล้าหาญ ต้องปกป้องโลก ผมต้องการเป็นคนธรรมดาที่พอจะปกป้องตัวเองและคนที่รักได้ก็พอ หลายวันต่อมามีข่าวทางโทรทัศน์ พ่อเห็นภาพผู้คนที่รวมตัวทำอะไรสักอย่าง กำลังปะทะกับเจ้าหน้าที่ราวสิบคน พ่อใช้เครื่องมือแปลภาษาจึงได้รู้ว่าเกิดการรวมตัวกันเรียกร้องข้อตกลงบางอย่างต่อรัฐ ซึ่งเป็นข้อเรียกร้องที่ยังตกลงกันไม่ได้ และเหมือนจะยืดเยื้อมาตั้งแต่หลายเดือนก่อน หากแต่ทุกครั้งที่มีการรวมตัวกัน ฝูงชนจะถูกควบคุมสถานการด้วยข้อบังคับที่รัฐออกมาเพื่อการณ์นี้โดยเฉพาะ และครั้งนี้ก็เป็นอีกครั้งที่ฝูงชนมารวมตัวกัน และดูเหมือนว่าจะเป็นการรวมตัวกันที่มีจำนวนคนมากกว่าทุกครั้ง พ่อเฝ้าดูสถานการณ์ทางโทรทัศน์ตลอดทั้งวัน จนถึงค่ำเหตุการณ์รุนแรงขึ้น มีการใช้มาตรการบางอย่างเข้าควบคุมฝูงชน และดูเหมือนว่าจะมีการบาดเจ็บเกิดขึ้น พ่อกับแม่ไม่รู้ว่าฝ่ายไหนเป็นฝ่ายผิดหรือถูก แต่หากมีการใช้ความรุนแรง พ่อก็พร้อมที่จะเข้าช่วยผู้ที่กำลังบาดเจ็บ พ่อกับแม่กระโจนออกไปทางระเบียงห้อง บินไปยังที่แห่งนั้น ผมนั่งดูเหตุการณ์ทางโทรทัศน์พร้อมใช้เครื่องแปลภาษาไปด้วย ภาวนาในใจขออย่าให้เกิดเหตุการณ์รุนแรงไปกว่านี้ ผมเผลอหลับไปตอนไหนไม่แน่ใจ แต่รู้สึกตัวอีกครั้งตอนที่แม่กระโจนเข้าทางระเบียงห้องกลับมา สีหน้าแม่เคร่งเครียดมาก บอกว่าพ่อยังอยู่ที่นั่น และเหตุการณ์ดูเหมือนจะยิ่งแย่ไปกันใหญ่ เมื่อฝูงชนที่พ่อเข้าไปช่วยจากการโจมตีด้วยแก๊สน้ำตาของเจ้าหน้าที่ได้ยกให้พ่อเป็นผู้นำ พ่อกลายเป็นฮีโร่ของพวกเขาและเป็นผู้ก่อความไม่สงบในสายตาของเจ้าหน้าที่ในคราวเดียวกัน แม่บอกว่าที่สุดพ่อก็ยอมให้เจ้าหน้าที่ควบคุมตัวทั้งที่เพียงกระดิกนิ้วที่สวมถุงมืออยู่ กระแสไฟฟ้าก็จะพุ่งออกจากปลายนิ้วช็อร์ตร่างพวกนั้น แต่พ่อก็ไม่ทำ ยอมจำนนด้วยเหตุผลที่ว่า ต้องการแสดงความบริสุทธิ์ใจให้เจ้าหน้าที่รู้ว่าพ่อนั้นไม่ได้ต้องการก่อความไม่สงบ หากแต่ต้องการที่จะปกป้องผู้ต้องการแสดงความเห็นต่างจากเจ้าหน้าที่รัฐ ตอนนี้นักข่าวรายงานเรื่องของพ่อแทบทุกช่อง พ่อยังถูกกักตัวอยู่ในที่ลับ จากเสียงที่ได้ยินอยู่ขณะนี้ แม่รู้ว่าพ่อยังปลอดภัย ผมกับแม่เฝ้าติดตามสถานการณ์อย่างต่อเนื่อง สิ่งหนึ่งที่ทำให้แม่รู้สึกหวั่นในอกนั่นก็คือ ก่อนหน้านี้ทุกคนบนโลกนี้ล้วนชื่นชมพ่อในฐานะฮีโร่ปราบปรามอาชญากรร้าย แต่เมื่อพ่อหลงเข้าไปท่ามกลางสงครามของประชาชนกับเจ้าหน้าที่ พ่อก็ถูกรุมทึ้งทันที มีทั้งคนเกลียดพ่อมากและชื่นชมยกย่องพ่ออย่างที่สุด แม่ไม่เคยเห็นสงครามที่ไหนน่ากลัวเท่าสงครามชนิดนี้ มันสามารถพลิกความชอบให้เป็นความเกลียด พลิกความเกลียดให้เป็นความชอบ ง่ายกว่าการลัดนิ้วมือ แม่พยายามหาวิธีช่วยพ่อโดยไม่ใช้กำลังปะทะกับเจ้าหน้าที่ เพราะไม่อยากให้เกิดการล้มตายจากพลังพิเศษของแม่ หญิงสาวที่ผมหลงรักดูเหมือนจะเปลี่ยนไปหลังจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เธอไม่นึกปลาบปลื้มพ่อกับแม่ผมอย่างที่เคยเป็น ผมออกไปสืบข่าวเรื่องพ่อ เจอเธอเข้าจึงนั่งคุยกันที่ร้านกาแฟแห่งหนึ่ง การพูดคุยกันเป็นไปอย่างแกนๆ หลังเธอถามผมถึงเรื่องความไม่สงบที่เกิดขึ้น ผมไม่ตอบ เธอเน้นเสียงหนักพูดขึ้นว่า ในฐานะที่ผมเป็นลูกของซูเปอร์ฮีโร่ซึ่งมีหน้าที่ปกป้องชาวโลก ผมจะต้องแสดงความเห็นออกมาบ้าง เธอพยายามบีบบังคับให้ผมแสดงจุดยืน ต่อเมื่อเห็นผมยังรักษาท่าทีอยู่เช่นเดิม เธอก็พูดเหมือนกับจะลองใจว่าผมจะคิดเห็นต่อเรื่องที่กำลังจะพูดถึงอย่างไร เธอคงไม่รู้ว่าผมสามารถอ่านใจคนได้ผมจึงไม่หลงกลเธอ เธอว่าเจ้าหน้าที่รัฐจะออกข้อบังคับให้พลเมืองนี้คิด พูด และทำให้เหมือนกันหมด ห้ามทำต่างออกไปจากนี้ ผมตกใจ คาดไม่ถึงว่าจะมีใครออกข้อบังคับอย่างนี้ออกมาได้ แทนที่เธอจะเป็นฝ่ายถามผม ผมชิงถามก่อนว่าเธอคิดเห็นอย่างไร เธอว่าเธอเห็นด้วยล้านเปอร์เซ็นต์ เพื่อความสงบเรียบร้อยของบ้านเมือง เธอเกลียดความรุนแรง ที่บ้านเมืองบอบช้ำอยู่ทุกวันนี้เพราะมีแต่คนคิดต่างกัน ทะเลาะกัน แล้วก็ทำร้ายกัน การออกกฎข้อบังคับนี้ จะได้ไม่มีใครบาดเจ็บล้มตายอีกต่อไป ผมค้านเธอในใจ ใช่ว่าการพูด คิด และทำเหมือนกันไปหมดจะไม่เกิดปัญหา และสุดท้ายเมื่อเธอถามความเห็นผม ผมก็นิ่งเฉยอีกเช่นเดิม เธอนั่งเสหน้าไปทางอื่น ครั้นเมื่อผมบอกว่าอยากกลับบ้านเธอก็ยอมตามนั้น ถึงไม่อ่านใจเธอแต่ก็พอดูออกว่าเธออยากลุกออกไปตั้งนานแล้ว กลับถึงบ้าน ผมเล่าเรื่องที่เจ้าหน้าที่รัฐจะออกกฎข้อบังคับพลเมืองให้แม่ฟัง การบังคับไม่ใช่ทางแก้ไขที่ดีเลยซึ่งแม่ก็คิดเช่นนั้น เราอยู่ในความกังวลได้ไม่นาน เสียงโทรศัพท์ของผมก็ดังขึ้น คนทางปลายสายแนะนำตัวว่าเขาเป็นหัวหน้าหน่วยโจมตีระยะใกล้ ให้ข้อเสนอแก่ผมว่าจะปล่อยตัวพ่อพร้อมคืนเจ้ารถ Tumbler ให้ โดยมีข้อแม้ว่าพวกเราต้องออกจากเมืองนี้ไป แต่หากไม่ตกลง เขาจำเป็นต้องควบคุมตัวพ่อต่อไป ผมหัวเราะในลำคอ ดูเหมือนพวกเขาจะหวาดระแวงว่าพ่อจะกลายเป็นแกนนำก่อความไม่สงบไป ทั้งที่พ่อเกิดมาเพื่อปราบอธรรมรักษาความสงบให้แก่โลกใบนี้ ผมรู้ว่าถึงพ่อจะถูกควบคุมตัว แต่ไม่มีใครทำอันตรายพ่อได้ อาวุธในตัวพ่อสู้คนได้ทั้งกองทัพ แต่พ่อเลือกที่จะยอมให้ควบคุมเพื่อไม่ให้ใครต้องบาดเจ็บ ก่อนวางสายผมบอกเขาไปว่าขอเวลาคิดสักหน่อย ทั้งที่รู้ว่าเขาไม่ได้ต้องการให้ผมเลือก หากแต่เป็นการแจ้งบอกกล่าวกันเท่านั้น ผมนั่งคิดนอนคิดทั้งคืนว่าในฐานะลูกชายของแบทแมน ควรจะทำอย่างไร ผมมองชุดเกราะที่แม่นำมาวางไว้ในห้อง พลางคิดถึงกฎข้อบังคับที่กำลังจะออกมาบังคับใช้ ถ้าคิดเห็นเหมือนกันหมดก็จะกลายเป็นสังคมที่ตลกร้าย จะมีแต่นักฉกฉวยโอกาสที่ไม่ถูกใครตรวจสอบ เราควรมีนักเฝ้าระวังเพื่อตรวจสอบพฤติกรรมที่ผิดเพี้ยนของผู้มีอำนาจในระดับต่างๆ ของบ้านเมืองไม่ใช่หรือ และขณะที่เรามัวคิดกันแต่เรื่องการแย่งชิงความยุติธรรม อาชญากรก็ย่องลงมือทำร้ายพลเมืองตามถนนหนทาง ความไม่สงบสุขก็เกิดขึ้นอยู่ดี ผมคิดว่าเมืองนี้ยังคงต้องการฮีโร่อยู่ พรุ่งนี้ผมจะเดินทางไปพบพวกเขาพร้อมกับการแสดงความเห็นในฐานะพลเมืองคนหนึ่งที่อาศัยอยู่ในเมืองนี้ แต่สิ่งที่ผมตั้งใจไว้กลับไม่มีโอกาสได้ทำ เพราะในเช้ารุ่งขึ้น มีคำสั่งมาถึงพวกเราและต้องปฏิบัติตามอย่างเลี่ยงไม่ได้ และผมก็ได้รู้ว่า ที่นี่ไม่ต้องการฮีโร่อีกต่อไปแม้บ้านเมืองจะเต็มไปด้วยอาชญากรรม เราสามคนถูกเชิญออกจากเมือง เจ้ารถ Tambler พาพ่อกับแม่ทะยานออกไปด้วยความเร็วสูงสุด โดยผมขับ Batbike ตามไปติดๆ ขณะแวะจอดพักยังเมืองแห่งหนึ่ง ผมโทร.กลับไปหาหญิงสาวคนที่ผมเคยรัก น้ำเสียงเธอสดใส บอกข่าวแก่ผมว่า กฎข้อบังคับที่ออกให้แก่พลเมืองนั้นถูกประกาศออกมาแล้ว คราวนี้บ้านเมืองเธอจะมีแต่ความสงบสุข ผมถอนหายใจออกหลังวางสายของเธอ ผมเริ่มไม่แน่ใจนักว่า เกิดเหตุการณ์อย่างนี้ที่ก็อทแธมด้วยหรือเปล่า เสียงกรีดร้องของผู้หญิงดังขึ้นที่ซอกตึกแห่งหนึ่ง ซึ่งห่างจากจุดที่พวกเราแวะพักไปราวหนึ่งกิโลเมตร พ่อผมรีบออกจากรถแล้วเหาะทะยานขึ้นฟ้า แม่ขับเจ้า Tambler ตามไป ไม่ว่าใครจะต้องการเราหรือไม่ เราก็ต้องทำหน้าที่ฮีโร่ของเราต่อไป ปราบเหล่าคนร้ายคือหน้าที่ที่เราพอจะทำได้ ในฐานะพลเมืองของโลกใบนี้ ผมหยิบชุดเกราะของผมขึ้นมาใส่ สวมหน้ากากและผ้าคลุม จากนั้นก็บิด Batbike เร่งเครื่องสุดกำลัง ไปยังจุดที่โซนาร์ใต้เลนส์ตาของผมจับภาพคนร้ายไว้ได้