ฉัตรสุมาลย์ / เส้นทางสายไหม : ภูเขาเทียนซาน

เราอยู่ในมณฑลซินเจียง มณฑลทางตะวันตกเฉียงเหนือของจีน เป็นเขตปกครองตนเองที่ใหญ่ที่สุดของจีน เป็นอันดับ 8 ของโลกทีเดียว

ซินเจียงกินพื้นที่กว่า 1.6 ล้านตาราง ก.ม. มีประชากรหนาแน่นที่สุด ติดอันดับหนึ่งในสิบ

ซินเจียงมีพรมแดนติดต่อกับรัสเซีย มองโกเลีย คาซัคสถาน ทาจิกิซสถาน ปากีสถาน อินเดีย และทิเบต

มีน้ำมันสำรองอุดมสมบูรณ์และสามารถผลิตก๊าซธรรมชาติที่ใหญ่ที่สุดของจีน

ซินเจียงแปลว่า เขตแดนใหม่ เมืองเอกคืออูลูมูฉี ที่แนะนำไว้แล้วตั้งแต่อาทิตย์ก่อน มีประชากรถึง 21 ล้านคน

ความหนาแน่นของประชากรอยู่ที่ 13 คนต่อ ตร.ก.ม.

ลักษณะที่เป็นเมืองหน้าด่านเช่นนี้ จึงมีกลุ่มชาติพันธุ์หลากหลาย ได้แก่ อุยเกอร์ 45% ฮั่น 41% คาซัค 7% หุย 5% คีรกิซ เกือบ 1% มองโกล ทาจิก ซีเปอร์ อย่างละน้อยกว่า 1%

ตั้งแต่ 2,000 ปีก่อนเป็นต้นมา ดินแดนซินเจียงเป็นส่วนหนึ่งของประเทศจีน ที่มีความเป็นเอกภาพแม้ประกอบด้วยชาติพันธุ์ที่หลากหลาย

เมื่อ 60 ปีก่อนคริสตกาล ราชวงศ์ฮั่นได้จัดตั้งองค์กรบริหารซียี่ เพื่อปกครองซินเจียงโดยตรง

ภายในเวลา 1,000 ปีต่อจากนั้น ซินเจียงสังกัดอยู่กับองค์กรบริหารท้องถิ่น ที่จัดตั้งโดยรัฐบาลกลาง ในสมัยราชวงศ์ชิง รัฐบาลกลางได้แต่งตั้งนายพลอิหลีให้ปกครองดินแดนซินเจียงทั้งหมด พ.ศ.2427 ได้รับการสถาปนาขึ้นเป็นมณฑล ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างซินเจียงกับมณฑลอื่นดีขึ้น

เดือนกันยายน 2492 ซินเจียงได้รับการปลดแอกอย่างสันติ จนถึงวันที่ 1 ตุลาคม สาธารณรัฐประชาชนจีนได้สถาปนาให้ซินเจียงเป็นเขตบริหารระดับมณฑลที่มีอำนาจปกครองตนเองได้เขตหนึ่งในจีน

 

มีภูเขาอยู่ในมณฑลนี้ 3 ลูกที่สำคัญและได้เล่ามาแล้ว เช้าวันนี้ ทัวร์ของเราจะพาไปขึ้นภูเขาเทียนซาน เพื่อชมทะเลสาบเทียนซื่อ เป็นทะเลสาบธรรมชาติที่เกิดท่ามกลางภูเขา น้ำในทะเลสาบใสสะอาดตลอดปี เป็นน้ำจากหิมะที่ทับถมกันและละลายลงมาในทะเลสาบ

เรียกว่าเป็นอ่างล้างหน้าของเง็กเซียนประมาณนั้น

เช้านั้น หนาวมาก อุณหภูมิข้างนอก 2 องศา เก้าโมงเช้าแล้วถนนภายนอกโรงแรมยังมืดสลัวราวกับใกล้ 6 โมงเช้า

รถทัวร์ของเรามาจอดริมถนนหน้าโรงแรม เรากินอาหารเช้าในกล่อง ที่เรียกว่าในกล่องไม่ถูก ควรจะเรียกว่าในถุง มีขนมปัง 1 แผ่น ไข่ต้ม 1 ฟอง ส้ม 1 ผล และผักดองในซองเล็กๆ

ผักดองนี่ไปกินกับไข่ต้ม ใช้การได้อยู่

เสร็จแล้วก็จัดการชงชากาแฟตามความชอบของแต่ละคน

คุณมนัสเจ้าของบริษัททัวร์ดูแลเรื่องน้ำร้อนตลอดเวลา เป็นอาหารพอกันตายไม่มีใครบ่น เพราะอยากไปดูทะเลสาบ

ข้อมูลยังไม่นิ่ง ว่าเราจะได้ลงเรือหรือไม่ เพราะช่วงนี้ไม่ใช่ฤดูท่องเที่ยว พอรถเราเริ่มไต่เขาขึ้นไป ยิ่งสูง ยิ่งสวย ทุกคนเอากล้องมากดกันใหญ่ สองข้างทางเป็นสนที่มีหิมะเกาะหนาขึ้นทุกที ยิ่งขึ้นไปสูงยิ่งสวย

เราไปจอดที่ลานจอดรถใหญ่ ลานไม่ใหญ่ แต่รถของเราน่ะค่ะใหญ่ เข้าใจว่าหิมะเพิ่งตกเมื่อคืน ถนนแฉะๆ

จากตรงนี้เราต้องไปขึ้นรถของทางการที่ควบคุมดูแลสถานที่ท่องเที่ยว เป็นรถบัสขนาดเล็กราว 25 ที่นั่ง

จากนั้น เรายังต้องค่อยเดินขึ้นไป สองข้างทางสวยมาก เหมือนเมืองทางตะวันตก

สมาชิกที่ไม่เคยไปตะวันตก ไม่เคยเห็นหิมะได้สนุกสนานกับการกอบหิมะโยนใส่กันสนุกสนาน

 

เราไปยืนอยู่ริมทะเลสาบ พระอาทิตย์ส่องมาทางที่เรายืน อากาศเย็น ท้องฟ้าโปร่ง เหมาะที่สุดกับการล่องเรือไปรอบๆ ทะเลสาบ

วันนั้น ยังมีนักท่องเที่ยวแบบพวกเรา คือนอกฤดูกาล

เห็นห้องเล็กๆ ที่เป็นที่ขายตั๋วเปิด ก็เดาได้ว่า น่าจะขายตั๋วสำหรับพวกเราได้ล่องเรือ ที่ท่าเรือเล็กๆ มีเรือเข้ามาเทียบ 2 ลำ มีหลังคา และมีที่นั่งภายในที่จัดให้ดูเหมือนห้องรับแขกสบายๆ มีเวที และมีฉากหลังเวทีเป็นภาพวิวของทะเลสาบที่พวกเราไปยืนถ่ายรูปกัน

มีทหารคอยดูแลความปลอดภัย 3-4 คน มัดเชือกกับเสา รอให้ลูกทัวร์ลงเรือเรียบร้อยแล้วจึงให้สัญญาณให้ออกเรือได้

เด็กสาวๆ ปีนขึ้นไปชมวิวบนดาดฟ้าเรือ เห็นถ่ายรูปกันลงมาสนุกสนาน ส่วนภายในเรือนั้น สักครู่ก็มีเจ้าหน้าที่เป็นผู้หญิงสาวใส่ชุดพรางแบบทหารออกมาบรรยาย ไม่รู้ว่าเขาว่าอะไร

คงจะเล่าความเป็นมาและจุดที่เรือจะจอดให้ขึ้นชม ท่าทางดีทีเดียว คือสุภาพ รู้งาน

ขณะเดียวกันก็มีความเป็นตัวของตัวเอง

 

จากฝั่งที่เราอยู่ มองไปตรงกันข้ามเห็นอาคารสีสันสดใส น่าจะเป็นวัด เมื่อเรือแล่นไปรอบๆ พอถึงที่วัดนี้ มีผู้โดยสารชาวจีนที่เป็นนักท่องเที่ยว ขึ้นไปชุดหนึ่ง เข้าใจได้ว่า เมื่อชมเสร็จแล้ว เขาก็คงลงมารอเรือเที่ยวต่อไป

คณะของเราไม่ได้ขึ้น แต่ล่องเรือต่อไปจนครบรอบ ได้ดูความสมบูรณ์ของป่าสนและหิมะที่เป็นแหล่งน้ำธรรมชาติของผู้คน

เมื่อเรากลับลงไปสมทบกับคณะของเรา ก็พอดีทัวร์มาตามให้ไปกินอาหารกลางวันที่นั่นเลย

เราก็ได้เห็นบรรยากาศของชาวบ้านที่มารับประทานอาหารกัน

โต๊ะที่พวกเรานั่ง ประมาณ 8 โต๊ะ ปรากฏว่าโต๊ะคนจีน 14 คน อาหารที่นี่ ผู้เขียนขอให้ทัวร์สั่งนาน ที่เป็นแป้งแผ่นใหญ่ ที่นี่ ชาวอุยเกอร์ทำแผ่นใหญ่จริงๆ ขนาดเท่าถาด เรียกว่าคงจะกินกันทั้งครอบครัว ด้านบนอาจโรยพริกด้วย รสชาติเหมือนนาน คือแป้งปิ้งแบบแขกอินเดีย

อุยเกอร์เป็นมุสลิม อาหารที่ขึ้นหน้าขึ้นตาคือ แพะย่างทั้งตัว โต๊ะเราเป็นมังสวิรัติ เลยยังไม่ถึงซินเจียงจริงๆ

ปัญหาอย่างหนึ่งของจีน คือสูบบุหรี่ ปัดโธ่ เผาปอดของตัวเองไม่พอ ยังไปเผาปอดคนอื่นด้วย จีนพัฒนามาเร็วและมาก ขอบคุณท่านประธานสีจิ้นผิง ขอให้ท่านช่วยจัดการพวกเผาปอดชาวบ้านด้วยอีกเรื่องหนึ่งนะคะ

ในบรรดาภัตตาคารที่เราได้ลิ้มชิมรสอาหาร เราลงคะแนนกันแล้วให้ภัตตาคารเสฉวนที่เราแวะในเมืองมีรสชาติดีที่สุด ทั้งนี้เพราะอาหารเสฉวนจะมีรสจัดกว่าอาหารชาวฮั่นทั่วๆ ไป บางจานมีพริกด้วย และเขาจะใส่เครื่องเทศที่เรียกว่า หมาล่า เสียงประมาณนี้นะคะ อย่าถือเอาว่าถูกต้อง รูปร่างคล้ายพริกไทย

กินแล้วลิ้นชา เหมือนกับตอนที่เราโดนยาชาหมอถอนฟันเลยค่ะ มีหลายร้านที่ใช้เครื่องเทศตัวนี้ ที่ไต้หวันก็ใช้ค่ะ น่าจะเป็นเครื่องเทศปรุงรสของเขา

 

บ่ายสุดท้ายของคณะเราคือ ช้อปปิ้ง ทัวร์เราให้เวลาช้อปปิ้งน้อยมากค่ะ บ่ายนี้ก็เลยเต็มที่ เราไปต้าบาจา นี่เป็นเสียงจีนกลาง ต้า แปลว่าใหญ่ บาจาเพี้ยนมาจาก บาซาร์ คือ ตลาดใหญ่

เราเดินดูสินค้าในตลาดที่อยู่ชั้นล่างแล้ว ส่วนใหญ่เป็นของสวยๆงามที่ซื้อไปแล้วรกบ้าน นอกจากพูดกันไม่รู้เรื่องแล้ว ท่าทางพ่อค้าแม่ขายก็ดูเขาไม่กระตือรือร้นสักเท่าไร เดินสวนกับพวกเราเองเผื่อใครจะซื้ออะไรที่น่าสนใจได้บ้าง บางคนว่าลงไปซูเปอร์มาร์เก็ตชั้นล่างดีกว่า

เราก็เลยมุ่งหน้าไปซูเปอร์มาร์เก็ตที่อยู่ชั้นใต้ดิน ทุกอย่างมีราคา หากเราจะแบ่งเอา ไม่ซื้อทั้งกิโลก็สะดวก เพราะเขามีตักไว้ให้เสร็จ

เราซื้ออาหารที่ขึ้นชื่อของเขาประเภทลูกเกด ถั่วชนิดต่างๆ อัลมอนด์ วอลนัตมีทั้งเปลือกหรือที่แกะแล้ว พีแคน (เมืองไทยหายาก) รูปร่างคล้ายวอลนัต แต่รูปร่างเรียวกว่า และรสขมน้อยกว่า เก๋ากี้ เม็ดแดงๆ ที่เราเห็นชาวจีนบ้านเรานิยมใส่ในแกงจืด ที่นี่มีเก๋ากี้ดำด้วย

ที่ซื้อมาแล้วดีมาก อยากกลับไปซื้ออีก คือ พุทราจีนลูกใหญ่ผ่าครึ่งแล้วยัดใส่ด้วยลูกเกดและวอลนัต เด็ดขาดมากค่ะ ถ้ากินกับชาตอนบ่าย หรือกาแฟตอนเช้า

พุทราจีนลูกใหญ่โลละ 450 บาท แต่บ้านเราไม่มี ก็ซื้อมาไม่เสียหาย พุทราลูกเล็กเขาเอามาหั่นซอยตามขวาง ไว้กินสดก็ได้ หรือเอามาชงชาก็ได้ แล้วแต่ความพอใจของเรา

ญาติโยมซื้อผ้าพันคอหลากสี เป็นสีรุ้งก็มี สนนราคาประมาณ 100 บาท เมืองทะเลทรายก็มีอูฐให้อุ้มกลับบ้าน ตัวละ 50 หยวน ฝากหลานๆ ก็ดี เพราะไม่ใช่สัตว์พื้นบ้านของเรา

เย็นนั้น บางคนยังหอบแตงฮามีมากินกันส่งท้ายตอนอาหารเย็น

ที่ด้านหน้าของตลาดเป็นสุเหร่าใหญ่ ลวดลายประดับงดงาม เรารอพรรคพวกตรงนี้ มีร้านขายทับทิม และคั้นน้ำสดๆ ใส่แก้วแชมเปญ แต่เวลาเราจะกินจริงๆ เขาเทใส่ถ้วยกระดาษค่ะ ถ้วยละ 10 หยวน (50 บาท) ไม่แพง เป็นการซื้อประสบการณ์ ถ้าอยู่อินเดียก็จะต่อสัก 30 บาท

คนขายเป็นชายวัยกลางคนชาวอุยเกอร์

ร้านตรงกันข้ามก็เป็นชาวอุยเกอร์ขายแป้งนาน ที่เล่าว่า ขนาดใหญ่เท่าถาด เราซื้อมาให้พี่น้องทางเมืองไทยได้ตื่นเต้น (ว่าเป็นของแปลก) ตอนซื้อแผ่นแป้งนี้ แข็งโป๊กเลยค่ะ พอมาถึงเมืองไทย เปิดกระเป๋าดู แป้งนิ่มลง เมืองเขาแห้งมากค่ะ บ้านเรามีความชื้นสูงกว่า

เช้าวันรุ่งขึ้น เราออกแต่เช้า ตรงไปสนามบินเลย เราบินเข้ากวางโจว เพื่อต่อขึ้นเครื่องเข้ากรุงเทพฯ ส่วนคุณสุลิน ไกด์และล่ามของเราจัดการมาส่งเราถึงสนามบิน ตัวเองก็บินเหมือนกัน แต่เขาบินกลับซีอันค่ะ

แม้ว่าจะกลับเมืองไทยแล้ว ไลน์กลุ่มยังคึกคัก ไม่รู้ใครซื้อซีอิ๊วมาอร่อยมาก ตามหากันทั่ว ปรากฏว่า ซีอิ๊วที่ว่านี้ สั่งมาจากจีนมีขายที่ร้านในนครปฐมนี่เอง

เป็นทัวร์ที่แฮปปี้เอนดิ้งค่ะ ตอนนี้เรียกร้องกันว่า ยังไม่ได้ไปลั่วหยาง จะได้ชมถ้ำหยุนกางด้วย ตอนนี้ซ่อมสุขภาพกันก่อนแล้วค่อยว่ากัน