เพ็ญสุภา สุขคตะ : “ล้านนาศึกษา” ใน “ไทศึกษา” ครั้งที่ 13 (22) พระครูศรีวิราชวชิรปัญญา กับบันทึกสำคัญอีกด้านหนึ่งของ “กบฏเงี้ยว”

เพ็ญสุภา สุขคตะ

วิมล ปิงเมืองเหล็ก ปราชญ์เมืองพะเยา

นำเสนอเรื่องราวประวัติศาสตร์ท้องถิ่นล้านนาตะวันอออกในหัวข้อ

“บันทึกของพระครูศรีวิราชวชิรปัญญา (ปินตา ชอบจิต 2404-2487)”

 

พระครูศรีวิราชวชิรปัญญาคือใคร

บุคคลในภาพที่มีท่าทางทระนงเชื่อมั่นในตัวเองท่านนี้ นามเดิมคือ ปินตา ชอบจิต ดำรงตำแหน่งเจ้าคณะแขวงเมืองพะเยา (ในอดีตพะเยามีฐานะเป็นอำเภอหรือแขวงหนึ่งของจังหวัดเชียงราย) ระหว่าง พ.ศ. 2404-2487 นอกจากนี้ ยังเป็นเจ้าอาวาสวัดหัวข่วงแก้ว วัดราชคฤห์ และสุดท้ายเป็นเจ้าสำนักวัดศรีโคมคำ (วัดพระเจ้าตนหลวง)

พระครูศรีวิราชวชิรปัญญา เป็นพระสงฆ์ที่รักการจดบันทึกเหตุการณ์ต่างๆ ที่ได้พบเห็นเป็นชีวิตจิตใจ โดยบันทึกลงในกระดาษฟุลสแก๊ปด้วยดินสอดำ แบบวันต่อวัน (Diary) แล้วเย็บเป็นเล่ม จำนวนหน้าของแต่ละเล่มไม่เท่ากัน ใช้อักษรธัมม์ล้านนา มีเพียงบางตอนที่ใช้อักษรไทยกลาง เวลาในการบันทึกได้บอกรายละเอียดทั้งวันเดือนปี วันขึ้นวันแรมทางจันทรคติ ปีจุลศักราช พุทธศักราช และบางเหตุการณ์แถมบอกเป็นระบบคริสต์ศักราชอีกด้วย

เมื่อตอนท่านมรณภาพ ได้ฝากมรดกจำนวนมหาศาลนี้ไว้ให้แผ่นดินพะเยา ปัจจุบันเป็นสมบัติของหอวัฒนธรรมนิทัศน์ ข้างวัดศรีโคมคำ โดยมีพระอุบาลีคุณูปมาจารย์ (ปวง ธมฺมปญฺญมหาเถระ) เป็นผู้อำนวยการ

 

จุดมุ่งหมายของการบันทึก

พระอุบาลีคุณูปมาจารย์ ได้ตั้งข้อสังเกตว่า

ประเด็นแรก บันทึกนี้น่าจะเกิดจากอุปนิสัยของพระครูศรีวิราชวชิรปัญญาเอง ที่รักการขีดเขียนอักขระและชอบแสวงหาความรู้ จากการบอกเล่าของพระราชวิริยสุนทร (ธงชัย พันธุ์พัฒนกุล) อดีตเจ้าคณะจังหวัดพะเยา ในฐานะหลานชายกล่าวไว้ว่า “คราวหลวงลุงมรณภาพ ญาติพี่น้องได้บรรทุกสิ่งของเครื่องใช้ โดยเฉพาะเอกสารบันทึกมีถึง 3 เล่มเกวียน”

ประเด็นที่สอง บันทึกนี้ทำขึ้นเพื่อเขียนเป็นรายงานทางราชการคณะสงฆ์ ส่วนใหญ่บันทึกการประชุมคณะสงฆ์ตามหัววัดต่างๆ ที่ท่านรับผิดชอบในฐานะเจ้าคณะแขวงบริเวณเมืองพะเยาจำนวน 123 วัด และบางตอนเป็นบันทึกการสอบสวนอธิกรณ์ที่เกิดในวงการคณะสงฆ์ รวมถึงจดหมายทางราชการที่โต้ตอบกับหน่วยราชการภายนอก

ประเด็นที่สาม บันทึกเรื่องเลขผานาที วันดี วันเสีย วันมงคล วันอวมงคล ในตำราโหราศาสตร์ที่ชาวบ้านมาขอคำปรึกษา

ประเด็นที่สี่ บันทึกเรื่องราวจากการอ่านเอกสารโบราณ และจากคำบอกเล่าของผู้รู้ในท้องถิ่นที่เกี่ยวข้องกับประวัติศาสตร์ท้องถิ่น

ปี พ.ศ.2559 บันทึกชุดนี้ ได้รับการประกาศรางวัลจากยูเนสโก ให้เป็นเอกสารมรดกความทรงจำแห่งโลก ในระดับท้องถิ่นล้านนา

 

ตัวอย่างงานบันทึกชิ้นสำคัญ

ในบันทึกของพระครูศรีวิราชวชิรปัญญา ที่มีในหอวัฒนธรรมนิทัศน์ วัดศรีโคมคำ 11 เล่มนั้น พอจะแยกเนื้อหาออกมาได้ 3 เรื่องที่น่าสนใจคือ

เรื่องแรก บันทึกการเกิดจลาจลของไทใหญ่ในเมืองพะเยา (กบฏเงี้ยว) พ.ศ.2445

เรื่องที่สอง บันทึกเหตุการณ์ในชีวิตประจำวัน วิถีชีวิตของผู้คนที่มีต่อวัดและพระสงฆ์ ภูมิปัญญาท้องถิ่น คำสั่งทางการของสงฆ์เกี่ยวกับการวางตัวในยุคของการเปลี่ยนแปลงองค์กรสงฆ์ล้านนา ระหว่างปี 2458

เรื่องที่สาม บันทึกการนิมนต์ครูบาเจ้าศรีวิชัย มาเป็นประธานบูรณะพระวิหารวัดศรีโคมคำปี 2465

 

เงี้ยวปล้นเมืองพะเยา

บันทึกเล่มแรก พ.ศ.2445 กล่าวถึงการเกิดจลาจล พวกเงี้ยว (ไทใหญ่) ปล้นเมืองแพร่ จากนั้นลุกลามเข้าไปเมืองพะเยา และระบาดทั่วล้านนา พระครูศรีวิราชวชิรปัญญาอยู่ในเหตุการณ์นั้นด้วย ท่านเล่าว่าถูกพวกเงี้ยวฟันทั้งๆ ที่เป็นสมณเพศ จนต้องกระโดดปีนลงจากกุฏิทางช่องหน้าต่าง แล้วหนีลงไปลำปางอยู่ที่วัดปงสนุก

การที่ชาวพะเยากับชาวลำปางหนีกันไปหนีกันมาหลายระลอก ปัจจุบันสำเนียงการพูดของคนสองจังหวัดนี้จึงละม้ายคล้ายคลึงกันมาก

มีการเล่าถึงเงี้ยวยิง “มิสเตอร์ฝรั่ง” คนหนึ่ง (ซึ่งถูกเจ้าพระยาสุรศักดิ์มนตรีส่งมาประจำการที่ลำปาง) ตาย บริเวณแม่ก๋า ห้วยเกี๋ยง ปัจจุบันคือที่ตั้งของมหาวิทยาลัยพะเยา

เรื่องที่น่าสนใจยิ่งที่อาจช่วยเราคลี่คลายปมว่าทำไมต้องเกิดกบฏเงี้ยว คือตอนที่เมืองแพร่แตก ชาวแพร่หนีตายไปเมืองลำปางและเมืองพะเยา ได้มีหนังสือประกาศจากทางสยามว่า หากใครช่วยรบกับกบฏเงี้ยวจนได้ชัยชนะ จะมีการงดเว้นค่าภาษีรัชชูปการ 4 บาทให้ด้วย (เงิน 4 บาทสำหรับไพร่ยุคนั้นถือว่าแพงมหาโหดมาก) พร้อมทั้งจะยกเลิกการส่งส่วยข้าวให้แก่รัฐบาลสยาม

เหตุที่ใช้ข้ออ้างเรื่อง “ภาษี 4 บาท” มาเป็นข้อต่อรองก็เพราะว่าต้องใช้กุศโลบายแก้ลำกัน ตอนที่เงี้ยวบุกเมืองพะเยาได้ หัวหน้าเงี้ยวประกาศว่า หากใครสมัครใจมาช่วยรบฝ่ายเงี้ยวสู้กับรัฐบาลสยาม โดยลงชื่อเข้าหมู่เป็นพวกเงี้ยวจะไม่ต้องจ่ายภาษี 4 บาทให้หลวงอีกต่อไป ทำให้ประชากรหลากหลายชาติพันธุ์จึงเข้าร่วมขบวนการครั้งนั้นได้ แม้จะไม่ได้เป็นชาวไทใหญ่ (เงี้ยว) ก็ตามที

มีบันทึกเรื่องการประหารผู้นำเงี้ยวชื่อ “เจ้าหนานนนท์” “แสนผิว” “พญาคำวงศา” “ท้าวไชย” เป็นต้น โดยเจ้าพระยาสุรศักดิ์มนตรียกกองทัพทหารไทยขึ้นมาจำนวน 3,500 นาย จับชาวเงี้ยวยิงและตัดหัวเสียบประจานที่ประตูแป้น ริมกว๊านพะเยา ฝังศพเงี้ยวไว้ที่หลังบริเวณเทศบาลเมืองพะเยา พวกเงี้ยวและชาวบ้านที่เข้าช่วยเงี้ยวถูกฆ่าตายจำนวนมากเกือบ 200 คน

อาจารย์วิมล เล่าว่า เจ้าหนานนนท์ก็ดี พญาคำวงศาก็ดี นั้น แท้จริงแล้วไม่ได้เป็นเงี้ยว แต่ไปเข้ากับเงี้ยวเพราะมีอุดมการณ์เดียวกัน ต้องการปลดแอกเรื่องการถูกสยามกดขี่ขูดรีดภาษี 4 บาท ก่อนมีการประหารนั้น ทางการจับชาวเงี้ยวทั้งหมดมัดมือนั่งล้อเกวียน ประจานทั่วตลาดกลางเวียง

คนที่เป็นเงี้ยวแท้ๆ คือ แสนผิว เมื่อแสนผิวถูกฆ่า สร้างความขุ่นเคืองใจให้แก่ชาวอังกฤษเจ้าอาณานิคมพม่า เนื่องจากแสนผิวเป็นชาวไทใหญ่ สังกัดประเทศพม่า ทำให้อังกฤษทำหนังสือมาถาม กรมพระยาเทววงศ์วโรปการ เสนาบดีกระทรวงการต่างประเทศในขณะนั้นว่า มีสิทธิ์อะไรจึงเข่นฆ่าคนในบังคับของอังกฤษอย่างอุกอาจ

รัฐบาลไทยต้องยืนอ่านคำประกาศขอโทษประเทศอังกฤษต่อหน้าชาวพะเยาที่กลางตลาด พร้อมทั้งขอโทษชาวพะเยาที่ถูกฆ่าตายทั้งๆ ที่ไม่ได้เป็นชาวเงี้ยว เพียงแต่เข้าร่วมต่อสู้เพื่อปลดแอกภาษี 4 บาท พร้อมรัฐบาลไทยต้องจ่ายเงินชดใช้ให้แก่ทายาทของแสนผิวและคนอื่นๆ จำนวน 7,800 รูเปียห์

ปัจจุบัน ทายาทของแสนผิวหรือปู่ผิว ใช้นามสกุล “เสมอเชื้อ” หมายถึง เสมอเชื้อเจ้า (เป็นนามสกุลใหญ่ พอๆ กับ “ศีติสาร” สกุลของเจ้าเมืองพะเยา)

 

วิถีชีวิตรายวัน

พบเอกสารช่วงปี 2458 บันทึกเกี่ยวกับวิถีชีวิตของท่าน ว่าในแต่ละวันใครเอาขันข้าวมาถวาย ในขันโตกมีอาหารอะไรบ้าง วันนี้มีแกงฮังเล วันนี้มีปลาปิ้ง คนนำมาถวายชื่ออะไร ในยุคสมัยที่ยังไม่มีนามสกุลใช้จำเป็นต้องอธิบายรูปพรรณสัณฐานผู้คนอย่างละเอียด เช่น น้อยปานดำ หนานจันแคะ (ชื่อจัน ขากะโผลกกะเผลก) บ้านอยู่ที่ไหน เป็นลูกใคร มีเมียชื่ออะไร

บางวัน แม้ไม่มีเหตุการณ์พิเศษ พระครูศรีวิราชวชิรปัญญายังอุตส่าห์บันทึกว่า

“วันนี้ไม่มีอะไรจะเล่า”

 

จดหมายโต้ตอบกับครูบาเจ้าศรีวิชัย

บันทึกนี้มีขึ้นในปี 2465 โดยพระครูศรีวิราชวชิรปัญญา ได้ทราบข่าวว่าที่ลำพูนมีพระภิกษุชื่อดังมากรูปหนึ่ง คือครูบาเจ้าศรีวิชัย สามารถบูรณะก่อสร้างเสนาสนะวัดสำคัญๆ ที่รกร้างตามที่ต่างๆ จำนวนนับร้อยแห่ง เป็นผลสำเร็จราวปาฏิหาริย์ แต่ละวัดใช้เวลาไม่นาน อีกทั้งใช้งบประมาณไม่มาก เนื่องด้วยหากท่านดำริฟื้นฟูวัดไหนก็ตาม เหล่าสานุศิษย์จะยกทีมมาช่วยกันคนละไม้คนละมือ

ในขณะที่วัดพระเจ้าตนหลวง ริมกว๊านพะเยา (ทุ่งเอี้ยง) ถูกทิ้งร้างมานาน สภาพวัดทรุดโทรม พระวิหารผุพัง ยากต่อการบูรณปฏิสังขรณ์ พระครูศรีวิราชวชิรปัญญาจึงมอบหมายให้ลูกศิษย์จากเมืองพะเยาชื่อ ครูบาปัญญา เดินทางไปอาราธนาครูบาเจ้าศรีวิชัยมาเป็นประธานในการบูรณปฏิสังขรณ์

ปรากฏว่าต้องรอคำตอบจากครูบาเจ้าศรีวิชัยถึงสามครั้ง กว่าจะตอบตกลงรับเป็นประธานในการบูรณะ จากบันทึกของพระครูศรีวิราชวชิรปัญญา ทำให้ทราบถึงแนวคิดของครูบาเจ้าศรีวิชัยว่า การตอบตกลงรับนิมนต์ไปช่วยบูรณะวัดแต่ละแห่งนั้น ท่านมีหลักคิดที่ใช้ประกอบการตัดสินใจอยู่ 3 เรื่องคือ

เรื่องแรก หากเป็นวัดที่มีประวัติเกี่ยวข้องกับการมีอยู่ของพระบรมสารีริกธาตุ หรือรอยพระพุทธบาท ตามตำนานพระเจ้าเลียบโลก (ครูบาเจ้าศรีวิชัยเรียกว่า “ธรรม 11 ผูก”) จะได้รับการพิจารณามากเป็นพิเศษ เหตุที่เป็นเนื้อนาบุญ ซึ่งวัดพระเจ้าตนหลวงก็แน่นอนว่าอยู่ในกลุ่มสำคัญนี้

เรื่องที่สอง ครูบาเจ้าศรีวิชัยให้ความสำคัญกับสิ่งที่เรียกว่า “นิมิต” อย่างมาก คือท่านต้องอธิษฐานจิตเสียก่อน ว่าการรับเป็นประธานครั้งนั้นจะมีผลดีผลเสียอย่างไรหรือไม่ วิธีการอธิษฐานที่พบมีหลายอย่าง อาทิ การเห็นนิมิตปรากฏขึ้นเอง เช่น เมื่อท่านจะสร้างวัดบ้านปาง (2447) ท่านได้เห็นลางดี คือพระจันทร์ส่องสว่าง ทำนายว่าการก่อสร้างจะแล้วเสร็จอย่างแน่นอน เพราะมีบุญสมภารแก่กล้า

ในกรณีของวัดพระเจ้าตนหลวง ครูบาเจ้าศรีวิชัยเสี่ยงทายนิมิตด้วยวิธี “ผายเบี้ย” ครั้งแรกเบี้ยที่โยนตกช่อง “หม้อนรก” ไม่เป็นมงคล ท่านก็ขอผลัดวันเดินทาง

ครั้งที่สองตกช่อง “มีทางไปแต่ไม่มีทางกลับ” ท่านยังไม่รับนิมนต์ กระทั่งครั้งที่สาม ตกช่องมงคลฤกษ์ ท่านจึงตัดสินใจไป อันที่จริงวัตถุประสงค์ของการผายเบี้ย ก็เพื่อดู “ความพร้อม” ว่าท่านจะสามารถบูรณะหรือสร้างวัดนั้นๆ สำเร็จหรือไม่

เรื่องที่สาม เมื่อตกลงรับนิมนต์แล้ว ครูบาเจ้าศรีวิชัยมักเดินทางไปสำรวจสถานที่ก่อนรอบแรก หรือส่งตัวแทนไปดูสภาพ เพื่อวางแผนตระเตรียมงาน กำหนดขนาดความกว้าง ยาว สูง ประเมินจัดหาวัสดุและรูปแบบศิลปะที่เหมาะสม จากนั้นจะประกาศให้มหาชนรับทราบโดยทั่วกันก่อนว่าจะเริ่มลงมือสร้างวันใด ทั้งนี้ เพื่อรวบรวมคณะศรัทธากลุ่มต่างๆ เมื่อถึงวันสร้างจึงมีผู้คนมาทำบุญกับท่านอย่างพร้อมเพรียงกัน

กรณีวัดพระเจ้าตนหลวง จากบันทึกของพระครูศรีวิราชวชิรปัญญาระบุชัดเจนว่า ครูบาเจ้าศรีวิชัยขอให้ทางพะเยาเตรียมอิฐ (ดินกี่) กี่ก้อน เตรียมไม้ขนาดเท่าไหร่กี่ต้น เตรียมปูนกี่ถัง เตรียมแรงงานกี่คน ส่วนงานละเอียดประเภทหน้าบันฉลุลาย การปิดทองคำเปลว การทำฐานชุกชีพระประธาน (แท่นแก้ว) ครูบาเจ้าศรีวิชัยจะตระเตรียมวัสดุอุปกรณ์และกลุ่มสล่า (ช่างฝีมือ) ชาวยองจากลำพูนไปเอง

กล่าวโดยสรุป บันทึกของพระครูศรีวิราชวชิรปัญญาแม้ปัจจุบันจะเหลือเพียง 11 เล่ม แต่ในอนาคตคาดว่าคงมีการค้นพบเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เพราะของเดิมมีมากถึง 3 เล่มเกวียน เชื่อว่าเมื่อวันนั้นมาถึง เราคงได้เรียนรู้และล้วงลึกเกี่ยวกับเงื่อนงำปมลับของประวัติศาสตร์ท้องถิ่นเมืองพะเยาที่ยังซุกซ่อนไว้อีกมหาศาล มาตีความสร้างองค์ความรู้ใหม่อย่างมิรู้จบ